เมื่อมีรัฐบาลเหนือตั้งอยู่ที่ปักกิ่งและรัฐบาลได้ตั้งอยู่ที่นานกิง ปัญหาต่อไปของจีนในขณะนั้นก็คือ ทำอย่างไรจึงจะรวมกันเป็นอันหนึ่งอันเดียวได้ ทางเลือกมีอยู่ ๒ ทาง คือ สงครามกลางเมืองกับการเจรจารวมกันโดยสันติวิธี วิธีแรกผู้นำของทั้ง ๒ ฝ่ายตระหนักดีว่าไม่เป็นที่ปรารถนาของประชาชน ยิ่งกว่านั้นทั้ง ๒ ฝ่ายต่างก็ไม่มีความมั่นใจในผลแห่งสงครามกลางเมือง ตั้งแต่กลางเดือนพฤศจิกายน ๑๙๑๑ ดินแดนที่ยังอยู่ภายใต้การปกครองของรัฐบาลปักกิ่งเหลือแต่เพียงเขตนครหลวง มณฑลซันตุง เหอหนันและภาคตะวันออกเฉียงเหนืออีก ๓ มณฑลเท่านั้น อำาจทั้งหมดทางเหนือตกอยู่ในกำมือของหวอซื่อไข่ อย่างไรก็ตาม แม้ว่าฝ่ายปฏิวัติจะยึดดินแดนอยู่ในความครอบครองได้แล้วประมาณ ๒/๓ ของประเทศ แต่เป็นการยึดครองอย่างหละหลวม ระบบการบริหารยังเหินห่างจากความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ยิ่งกว่านั้น การแปรรูปของรัฐบาลปักกิ่งทำให้ผู้นำฝ่ายใต้มีความเห็นแตกต่างกันในการมองศัตรู ความเห็นส่วนมากยังคิดว่า การที่จะขับไล่ชาวแมนจูนั้นยังฝากความหวังไว้ให้หยวนได้ และจุดมุ่งหมายนี้ก็อาจจะได้รับความสำเร็จได้ด้วยการเจรจา
เมื่อปักกิ่งและนานกิงเลือกเอาการเจรจาเป็นเครื่องตัดสินการรวมประเทศ หยวนจึงอยู่ในฐานะได้เปรียบคู่แข่งขันใด ๆ ภายในประเทศ รัฐบาลนานกิงนั้นได้เผยฐานะของตนอย่างแน่วแน่ตั้งแต่ต้นเดือนธันวาคมแล้วว่า ตนจะสนับสนุนหยวนเป็นประธานาธิบดีเพียงแต่ให้หยวนโค่นล้มราชวงศ์แมนจูเท่านั้น และซุนเองก็ได้ส่งโทรเลขไปยังหยวนในวันที่เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีชั่วคราว ยืนยันถึงเจตจำนงเช่นนั้น
ส่วนหยวนนั้น เป็นคนมีความทะเยอทะยานใฝ่ฝันที่จะเป็นผู้ปกครองเมืองจีน ไม่กังวลว่าจะเป็นรัฐบาลสาธารณรัฐหรือราชาธิปไตย ฉะนั้น ดูสถานการณ์ในเวลานั้นก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรยุ่งยาก แต่ปัญหาอยู่ที่หยวนสงสัยความสุจริตใจของซุน และความได้เปรียบในเชิงการทหารทำให้เขาเล่นตัวในการเจรจา เพื่อจะให้ประธานาธิบดีมีอำนาจเสมือนหนึ่งพระมหาจักรพรรดิ
งานเจรจารวมจีนเหนือและจีนใต้ ได้เริ่มตั้งแต่ต้นเดือนพฤศจิกายน ในระหว่างการเจรจานั้นหยวนสามารถใช้ฐานะได้เปรียบของตนต่อรอง และในบางครั้งก็เป็นการแสดงอำนาจต่อสำนักแมนจู อุปสรรคอันยิ่งใหญ่ของหยวนในการที่จะใช้กำลังทหารปราบพวกก่อการปฏิวัติทางใต้ คือ การขาดแคลนเงิน ซุนสามารถจูงใจให้รัฐบาลอังกฤษงดการจ่ายเงินใด ๆ ที่ได้มีการตกลงกันไว้แล้วให้แก่รัฐบาลปักกิ่ง นอกจากนั้นตั้งแต่ คณะปฏิวัติได้จัดตั้งรัฐบาลทหารที่อู่ซังเป็นต้นมา ก็ได้สามารถสร้างความนิยมให้แก่มหาอำนาจได้ หยวนจึงหันไปชักชวนราชสำนักแมนจูให้สละราชสมบัติโดยความสมัครใจ แม้ว่าข้อเสนอนี้จะได้รับการต่อต้านอย่างแข็งขันจากพวกขุนนางในพระราชสำนัก แต่หยวนสามารถใช้เครื่องมือของตนคือกองทัพแผนใหม่ (เป่ยหยาง) ขู่ จนขุนนางในพระราชสำนักต้องมีบัญชาให้จักรพรรดิซวนถุ่ง (ปูยี) ซึ่งมีพระชนมายุ ๖ ชันษา สละราชบัลลังก์ในวันที่ ๑๒ กุมภาพันธ์ ๑๙๑๒ เงื่อนไขของการสละราชบัลลังก์ที่สำคัญมี ๓ ประการ คือ
(๑) ให้รัฐบาลสาธารณรัฐที่จะจัดตั้งขึ้น ปฏิบัติการดีเป็นพิเศษอย่างพระมหาจักรพรรดิ หลังจากที่พระองค์ได้สละราชสมบัติแล้ว ทั้งนี้โดยการให้คงยศพระมหาจักรพรรดิไว้ รัฐบาลสาธารณรัฐจะให้การปฏิบัติการต่อพระองค์ด้วยไมตีอันดี เปรียบเสมือนหนึ่งผู้นำของรัฐบาลต่างประเทศ รัฐบาลสาธารณรัฐ จะจัดหาเงินเลี้ยงชีพสำหรับพระมหาจักรพรรดิ ในจำนวน ๓๐๐,๐๐๐,๐๐๐ ยวน ต่อปี นอกจากนั้นให้ พระมหาจักรพรรดิมีสิทธิที่จะอาศัยอยู่ในพระมหาราชวัง คงทหารรักษาพระองค์ ได้รับประกันในการรักษาสุสานของบรรพบุรุษและทรัพย์สมบัติส่วนพระองค์ไว้ได้
(๒) ให้รัฐบาลที่จะจัดตั้งขึ้นใหม่ปฏิบัติต่อเชื้อพระวงศ์ดีเป็นพิเศษ โดยให้คงสืบบรรดาศักดิ์ตามปกติ ให้ได้รับสิทธิพิเศษดังพลเรือนจีน ได้รับการคุ้มครองในทรัพย์สินส่วนตัว และให้ได้รับการยกเว้นจากการเกณฑ์ทหาร
(๓) ชาวแมนจู มองโกเลีย ชาวมะหะหมัด และชาวทิเบตจะได้รับสิทธิเท่าเทียมกับคนจีน ได้รับการคุ้มครองกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สิน ให้มีการสืบบรรดาศักดิ์ตามปกติ และให้ผู้ยากจนได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐบาล นอกจากนั้นให้ประชาชนดังกล่าวมีเสรีภาพในการประกอบพิธีกรรมบูชาตามที่ตนนิยม
เงื่อนไขดังกล่าวให้ตีพิมพ์ในหนังสือทางราชการ และให้ประกาศแก่ผู้แทนทางการทูตของต่างประเทศในกรุงปักกิ่งรับทราบไว้ด้วย
การสละราชสมบัติของราชวงศ์แมนจูถือได้ว่าเป็นชัยชนะอย่างหนึ่งของคณะก่อการปฏิวัติ หนึ่งในสามของแนวนโยบายของคณะปฏิวัติได้สำเร็จลุล่วงไปแล้ว แต่ปัญหาการจัดตั้งรัฐบาลระบอบสละราชสาธารณรัฐยังอยู่ในขั้นดำเนินการ หลังจากซุนได้รับโทรเลขจากหยวนเกี่ยวกับการสละราชบัลลังก์ของจักรพรรดิแมนจู และคำแถลงสนับสนุนระบอบสาธารณรัฐของหยวนแล้ว ซุนได้ยื่นใบลาออกจากตำแหน่งต่อรัฐสภาชั่วคราวที่นานกิง และเสนอหยวนเข้าดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีชั่วคราวแทน แต่ตั้งข้อเรียกร้องในการจัดตั้งรัฐบาลสาธารณรัฐไว้เป็นเงื่อนไขของการลาไว้ด้วย ๓ ประการ กล่าวโดยย่อ คือ
(๑) ให้เมืองหลวงตั้งอยู่ที่นานกิง
(๒) หน้าที่ของเขาในฐานะเป็นประธานาธิบดีชั่วคราว และหน้าที่ของรัฐสภาชั่วคราวจะหมดไป ต่อเมื่อหยวนย้ายมารับตำแหน่งใหม่ที่กรุงนานกิง
(๓) รัฐบาลชั่วคราว จะต้องผูกพันตามกฎหมายรัฐธรรมนูญที่จะตราขึ้นโดยรัฐสภา ซุนมีแผนการที่จะใช้วิธีการนี้กำจัดความทะเยอทะยานของหยวน แต่การย้ายเมืองหลวงนอกจากจะเป็นสิ่งที่หยวนไม่ยอมแล้ว ยังมีความเกี่ยวโยงถึงผลประโยชน์ของต่างประเทศที่ตั้งผู้แทนทางการทูต ณ กรุงปักกิ่งด้วย ในที่สุดฝ่ายซุนจำต้องยอมให้หยวนปฏิญาณตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีชั่วคราวของสาธารณารัฐจีนในวันที่ ๑๐ มีนาคม ๑๙๑๒ ในวันต่อมา ซุนในฐานะประธานาธิบดีชั่วคราวภายใต้เงื่อนไขประกาศใช้รัฐธรรมนูญชั่วคราวเพื่อจะให้เป็นเครื่องมือผูกพันรัฐบาลหยวน
รัฐธรรมนูญชั่วคราวที่ประกาศใช้ในวันที่ ๑๑ มีนาคม ๑๙๑๒ นี้ มีสาระแตกต่างกับรัฐธรรมนูญที่ร่างขึ้นที่อู่ซังที่สำคัญ คือ เปลี่ยนรูปรัฐบาลจากระบบประธานาธิบดี (Presidential System) มาเป็นระบบรัฐสภา (Parliamentary System) ตามรัฐธรรมนูญชั่วคราวนี้ หยวนจะแต่งตั้งรัฐบาลซึ่งรับผิดชอบต่อรัฐสภาชั่วคราว ซึ่งซุนเห็นว่าพวกคณะปฏิวัติเป็นฝ่ายมีเสียงข้างมาก ซุนหวังที่จะใช้หลักการนี้ยับยั้งอำนาจของหยวน หยวนแต่งตั้งถัง เซ่าอี้ ไปจัดตั้งคณะรัฐมนตรีที่นานกิง ซึ่งตำแหน่งสำคัญ ๆ เช่น รัฐมนตรีมหาดไทย รัฐมนตรีทหารบก และรัฐมนตรีทหารเรือ ล้วนแต่เป็นคนของหยวนทั้งสิ้น รัฐสภาชั่วคราวอนุมัติให้ซุนลาออกจากตำแหน่งประธานาธิบดีชั่วคราวเป็นทางการในวันที่ ๑ เมษายน ในวันที่ เดือนเดียวกันรัฐสภาชั่วคราวมีมติ ให้ย้ายรัฐบาลชั่วคราวไปยังกรุงปักกิ่ง ดังนั้น รัฐบาลนานกิงและปักกิ่งจึงรวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันภายใต้ ป้ายระบอบสาธารณรัฐ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น