ภายหลังที่จีนได้ประสบกับความพ่ายแพ้ในการสงครามกับมหาอำนาจตะวันตกหลายครั้งติดต่อกัน และโดยเฉพาะอย่างยิ่งภายหลังการเกิดกบฏไถ้ผิง ข้าราชการจีนผู้ที่มีความเป็นห่วงอนาคตของประเทศก็เริ่มพิจารณาว่า มีความจำเป็นมากน้อยเพียงใดที่ประเทศจีนจะยอมรับสิ่งที่นับว่าเป็นความเจริญของประเทศตะวันตก ปัญหานี้ได้ถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นครั้งแรก เท่าที่ปรากฏตามหลักฐานโดย หลิน เจ้อ สวี อดีตข้าหลวงตรวจการประจำมณฑลกวางตุ้งและกวางสี และผู้ได้รับอำนาจเต็มจากพระมหากษัตริย์ให้เป็นผู้จัดการกับปัญหาฝิ่น หลังจากสงครามได้เกิดขึ้น หลินในฐานะเป็นผู้รับผิดชอบในการกำจัดฝิ่นได้ถูกเนรเทศไปเมืองอีลี ในฐานะที่ท่านผู้นี้เป็นหัวหน้าในการประลองมือกับฝรั่งด้วยอาวุธเป็นคนแรก เขาได้ยอมรับความด้อยในเชิงการทหารของประเทศจีน ในจดหมายลับที่มีถึงเพื่อนของเขาคนหนึ่งในปี ๑๘๔๒ เขาแสดงความห่วงใยในอนาคตของประเทศจีน โดยปรารภว่า จีนมีความจำเป็นที่จะต้องซื้อและผลิตเรือรบและปืนที่ทันสมัย ดังที่ใช้อยู่ในบรรดาประเทศตะวันตก มีข้าราชการจีนอีกเป็นจำนวนมากที่มีความเห็นในทำนองเดียวกันกับความเห็นของเขา ในระยะยี่สิบสามปีต่อจากนั้นมา ปรากฏว่าในบรรดาข้าราชการจีนได้มีความเห็นแตกแยกเป็น ๒ พวก พวกหนึ่งยอมรับความมีอำนาจเหนือบางประการของชาวตะวันตก อีกพวกหนึ่งปฏิเสธที่จะยอมรับความเจริญของชาวตะวันตกเกือบทุกประการ
ผู้ที่สนับสนุนนโยบายพัฒนาประเทศให้เจริญตามประเทศตะวันตก ได้แก่ ผู้นิยมลัทธิขงจื๊อ โดยดัดแปลงให้เข้ากับสมัยนิยม พวกนี้ถือว่าลัทธิขงจื๊อเป็นสิ่งประเสริฐสุดที่จะต้องรักษาไว้ในสังคมจีน ส่วนวัฒนธรรมตะวันตกที่พอจะรับเข้ามาใช้ได้นั้น ไม่มีอะไรนอกเหนือไปกว่าวิชาการในทางทหารและ การอุตสาหกรรม นั่นก็คือ การที่จะยอมรับเอาวัฒนธรรมตะวันตกมาใช้นั้นก็คือการสร้างเกราะหรือไปซื้อเกราะมาปกคลุมขุมทรัพย์อันทรงคุณค่า อันเป็นมรดกสืบทอดต่อ ๆ กันมาของจีนไว้ ผู้ที่สนับสนุนนโยบายนี้ ได้แก่ บุคคลที่สำคัญในวงการรัฐบาลหลายคน เช่น พระองค์เจ้ากุงและหวุนเสียงในนครหลวง ส่วนข้าราชการประจำส่วนภูมิภาคที่มีนามกระเดื่องสนับสนุนนโยบายนี้ได้แก่ เจิงกว๋อฟัน จว๋อจุงทัง และหลี่หูงจัง เป็นต้น
ส่วนพวกที่ไม่เห็นด้วยกับนโยบายพัฒนาประเทศให้เจริญตามประเทศตะวันตก เห็นว่าเพียงแค่ฟื้นฟู “ของดี” ของจีนให้เข้มแข็งโดยปราศจากการเลียนแบบชาวตะวันตกก็เพียงพอแล้ว พวกนี้กลัวว่า การเลียนแบบในเชิงการทหารและอุตสาหกรรมของชาวตะวันตกนั้นย่อมจะมีวัฒนธรรมในด้านความนึกคิดติดตามเข้าไปด้วย ผู้นำในการสนับสนุนนโยบายนี้ ได้แก่ วอเหยิน ผู้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการส่วนพระองค์ (Grand Secretary) หรือเทียบเท่านายกรัฐมนตรีตั้งแต่ปี ๑๘๖๑ นอกจากนั้นยังมีข้าราชการในพระราชสำนัก และ “ชนชั้นผู้ดี” ส่วนมากเป็นผู้สนับสนุน
ในระหว่างปี ๑๘๖๐ – ๑๘๗๐ ผู้สนับสนุนนโยบายแรกเป็นพวกกำบังเหียนนโยบายการเมืองของประเทศ ภายหลังการปราบปรามกบฏไถ้ผิงราบคาบลง และราชวงศ์แมนจูได้ถูกบังคับให้มีสัมพันธภาพกับต่างประเทศใน “ฐานะเท่าเทียมกัน” แล้ว ขุนนางชาวแมนจูและข้าราชการผู้ทรงคุณวุฒิของจีนได้ร่วมมือกัน เริ่มก่อการปฏิรูประบบการบริหารหลายประการ แต่ความวุ่นวายภายในพระราชสำนัก ทำให้ฐานะของผู้มีอำนาจในการตัดสินนโยบายของรัฐมีความไม่มั่นคง ทั้งนี้เพราะขันทีในพระราชสำนักสามารถกุมอำนาจทางการเมืองตลอดมา ตั้งแต่กรุงปักกิ่งถูกทำลายจนกระทั่งพระราชชนนีฉือซี (ซูสีไทเฮา) ถึงแก่กรรมในปี ๑๙๐๘ พระราชชนนีฉืออันและพระองค์เจ้ากุงผู้ซึ่งมีส่วนสำคัญในการตัดสินนโยบายของจีนในปี ๑๘๖๐ – ๑๘๗๐ นั้น ก็ไม่อาจใช้ความรู้ความสามารถของตนไปใช้ปรับปรุงประเทศจีนได้แต่ประการใด ฉือซีเป็นผู้ไม่เห็นด้วยกับนโยบายพัฒนาให้เจริญตามประเทศตะวันตก และเมื่อพระราชสำนักอ่อนแอและไม่เอาใจใส่ในการปรับปรุงประเทศ งานเกี่ยวกับการสร้างชาติก็ตกไป เป็นภาระของจ้าราชการชั้นผู้ใหญ่ในส่วนภูมิภาคที่จะปฏิบัติการ ไปในฐานะส่วนตัว ขบวนการพัฒนาให้เจริญตามประเทศตะวันตกจึงมิได้มีแผนการแต่ประการใด ดังนี้จึงเป็นการยากที่การปฏิรูปของจีนในสมัยนี้จะสามารถทัดเทียมการปฏิวัติญี่ปุ่นในสมัยเดียวกันได้
การเลียนแบบตะวันตกที่จัดทำไปในส่วนภูมิภาค ด้วยการนำของข้าราชการในส่วนภูมิภาคนั้นเพ่งเล็งแต่เฉพาะในด้านการทหาร เจิงกว๋อฟัน หลี่หูงจัง และจว่อจุงทัง ขุนศึกผู้พิชิตกบฏไถ้ผิงที่สำคัญทั้ง ๓ นี้ ได้ใช้อาวุธยุทธภัณฑ์ของ “คนป่าเถื่อน” ได้ผลดี ก็ให้เกิดความเลื่อมใสในวิชาการอาวุธสมัยใหม่ ในปลายศตวรรษที่ ๑๙ หลี่หูงจังเป็นข้าหลวงตรวจการนครปักกิ่ง จังจือตุ้งเป็นข้าหลวงตรวจการมณฑลกวางตุ้ง ได้จัดระบบหน่วยทหารสมัยใหม่ฝึกโดยนายทหารชาวเยอรมันที่เมืองอู่ชัง หลี่ได้ส่งคนจีนไปศึกษาวิชาการทหารที่เยอรมัน และภายหลังปี ๑๘๘๕ เขาได้ใช้ชาวยุโรปสอนนายทหาร ณ โรงเรียนนายทหารที่เทียนสิน ในทำนองเดียวกัน จังก็ได้ตั้งโรงเรียนนายทหารขึ้นที่เมืองกวางตุ้ง ผู้สนับสนุนนโยบายเลียนแบบตะวันตกเหล่านี้ ยังได้สนใจในการสร้างโรงคลังพระแสงและอู่ต่อเรืออีกด้วย ในปี ๑๘๖๕ หลี่และเจิงได้สร้างโรงคลังพระแสงเรียกว่า โรงคลังพระแสงเมืองเจียงหนัน และอู่ต่อเรือที่เมืองใกล้กับกรุงเซี่ยงไฮ้ ซึ่งสามารถผลิตเรือปืนลำแรกได้เมื่อปี ๑๘๖๘ เจียงหนันได้เป็นศูนย์ผลิตกำลังทหารของจีนตลอดสมัยราชวงศ์แมนจูควบคู่ไปกับ โรงพระแสง มีโรงพิมพ์ซึ่งปรากฏในระหว่างปี ๑๘๖๘ – ๑๘๘๒ โรงพิมพ์นี้ได้พิมพ์หนังสือในด้านวิทยาศาสตร์ที่แปลจากภาษาฝรั่งมากกว่า ๒๐๐ เล่ม จว่อก็ได้สร้างอู่ต่อเรือขึ้นที่เมืองฝูโจว และในระหว่างปี ๑๘๖๗ – ๑๘๗๔ ได้ผลิตเรือออกมาได้ถึง ๑๕ ลำ ก่อนที่จะขาดกำลังทรัพย์สนับสนุนจากทางการ ส่วนจังจือตุ้งรับผิดชอบในงานถลุงเหล็กฮั่นแยะผิง
เนื่องจากงานเหล่านี้เป็นผลผลิตจากผู้นำส่วนท้องถิ่น รัฐบาลที่กรุงปักกิ่งมิได้เหลียวแลแต่ประการใด อาวุธที่ผลิตและทหารที่ฝึกออกมานอกจากจะมีจำนวนน้อยแล้ว ยังหาได้มีความจงรักภักดีต่อรัฐบาลกลางดังที่มีต่อส่วนท้องถิ่นไม่ ปรากฏว่าในสงครามจีน – ญี่ปุ่น (๑๘๙๔ – ๑๘๙๕) นั้น กองเรือรบทางใต้หาได้ให้กำลังสนับสนุนแต่ประการใดไม่
อุปสรรคที่สำคัญในการพัฒนาประเทศจีนในระหว่างนั้นก็คือ ความขาดแคลนเงินและต้องระวังภัยในการแทรกแซงของวัฒนธรรมตะวันตก การสื่อสารและการคมนาคมก็ได้มีการริเริ่มเป็นอย่างดี แต่ผู้ดำเนินการซึ่งไม่ใช่รัฐบาลกลางนั้น มักจะต้องหาเงินทุนดำเนินกิจกรรมไปอย่างแร้นแค้น นอกจากนั้น กิจกรรมทั้งหลายที่เป็นที่สนใจของผู้นำนั้นย่อมจะขาดความราบรื่นได้หากมิได้พัฒนาการอุตสาหกรรมอื่น ๆ ควบคู่ไปในขณะเดียวกัน แม้แต่ผู้ที่สนับสนุนเลียนแบบตะวันตกนั้นก็ยังต่อต้านการปฏิวัติอุตสาหกรรมตามแบบยุโรป เพราะพวกนี้เกรงว่าอุตสาหกรรมเหล่านี้จะสามารถถอนรากเหง้าวัฒนธรรมจีนไปเสีย เขายังเห็นสังคมตามแบบแผนขงจื๊อนั้นเป็นยุคทองที่เขามีหน้าที่ที่จะต้องรักษา และระบบเศรษฐกิจโดยถือการกสิกรรมเป็นพื้นฐานนั้นจะต้องไม่เปลี่ยนแปลง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น