การเป็นสมาชิกขององค์การค้าโลกในปี 2001 ซึ่งจะทำให้จีนต้องลดภาษีนำเข้าตามลำดับรวมทั้งเปิดเสรีทางการลงทุนมากขึ้น จะมีทั้งผลดี และ ผลเสียต่ออุตสาหกรรมของจีน โดยเฉพาะรัฐวิสาหกิจ ในสาขาเคมี , รถยนต์ , ยา และ เกษตร จะเผชิญการแข่งขันจากต่างประเทศอย่างรุนแรงและรัฐวิสาหกิจ หลายแห่งจะไปไม่รอด ธุรกิจบริการ เช่น ธนาคารประกันภัย และ โทรคมนาคม ที่เป็นรัฐวิสาหกิจที่ได้รับการอุ้มชูสูง และมีประสิทธิภาพต่ำ ก็จะเผชิญกับการแข่งขัน จากต่างประเทศ อย่างรุนแรงเช่นกัน แต่มองในอีกแง่หนึ่งก็คือเป็นการบีบให้รัฐวิสาหกิจ ต้องปรับปรุงตัวเองเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น เหตุที่การปฏิรูปหรือยุบ , ขาย รัฐวิสาหกิจยังได้ยากคือ จะทำให้คนตกงานเพิ่มขึ้น ซึ่งจะเป็นปัญหาความมั่นคงทางสังคม เพราะปัญหาคนว่างงาน , คนทำงานไม่เต็มที่ , คนจนก็มีเยอะอยู่แล้ว รวมทั้งคนงานที่มีอายุและการศึกษาทักษะอยู่ในเกณฑ์ต่ำ ก็เป็นการยากที่จะฝึกอบรมและหางานใหม่ให้พวกเขา
ธนาคารของรัฐ 4 แห่งมีปัญหาหนี้ไม่รับรู้รายได้ (NPL) จาก การปล่อยกู้รัฐวิสาหกิจ เป็นสัดส่วนสูงราว 22 – 24 % ในช่วงปี 1995 – 2000 เพราะต้องให้กู้ตามนโยบายของรัฐ รวมทั้งเพราะการขาดประสิทธิภาพและการฉ้อฉล ของรัฐวิสาหกิจ แต่ การที่คนจีนมีเงินออมในระบบธนาคาร 8 ล้าน ล้าน (TRILLION) หยวน เกือบพอ ๆ กับขนาดของ GDP ของประเทศ ทำให้รัฐบาลยังอุ่นใจได้ว่า ถ้าเศรษฐกิจเติบโตได้ไม่ต่ำกว่าปีละ 7% หนี้เสียเหล่านั้นก็จะค่อย ๆ ถูกย่อยไปเอง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น