การยาตราทัพขึ้นเหนือ โดยการนำของเจียงไคเช็ค ภายใต้ผืนธงของก๊กมินตั๋งได้เริ่มโดยซุนยัดเซ็น ตั้งแต่เดือนกันยายน ๑๙๒๔ แล้วแต่มิได้คืบหน้าไปมาก จนกระทั่งเดือนกรกฎาคม ๑๙๒๖ คณะกรรมการกลางของพรรคได้ประชุมกัน ในวันที่ ๔ มิถุนายน แต่งตั้งเจียงไคเช็คเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดโดยยุบเลิกคณะกรรมการฝ่ายทหาร ( Mikitary Council) เสีย และมอบอำนาจทั้งหมดให้เจียงไคเช็คในวันที่ ๕ กรกฎาคม เขาให้พรรคแต่งตั้งเขาเป็นหัวหน้าแผนกองค์บุคคลฝ่ายทหาร ( Mikitary Personnel) โดยมีอำนาจเต็มที่ที่จะแต่งตั้ง หรือสั่งปลดผู้แทนของพรรคประจำกรมกองทหาร กล่าวโดยสรุปก็คือ เจียงไคเช็คได้คืบหน้าไปแสวงหาอำนาจในทางการเมืองเพิ่มอำนาจทางการทหาร ซึ่งเขาสามารถใช้ได้อย่างเผด็จการอยู่แล้ว
วัตถุประสงค์ประการแรกของการยาตราทัพขึ้นเหนือก็คือ การปราบปรามขุนศึกทั้งหลาย และรวบรวมประเทศจีนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ภายใต้การนำของพรรคก๊กมินตั๋ง ตั้งแต่ระยะเริ่มแรก ปรากฏว่า การปฏิบัติการทางทหารได้รับความสำเร็จเป็นอย่างดี ภายในระยะเวลา ๓ เดือนนับแต่เริ่มการเคลื่อนย้ายทหาร กองทัพก๊กมินตั๋งสามารถยึดเมืองสำคัญ ๆเช่น ฮั่นโข่ว
(ฮันเค้า)และบริเวณใกล้เคียง จังหวัดต่าง ๆ ภายใต้แม่น้ำแยงซี เมืองนานกิง และเซี่ยงไฮ้
สำหรับในด้านการเมืองนั้น ไม่ได้รับความสำเร็จดังในด้านการทหาร การชิงอำนาจระหว่าง “ปีกขวา” และ “ปีกซ้าย” ของพรรคยังคงดำเนินต่อไป รัฐบาลคณะปฏิวัติได้ย้ายที่ตั้งไปอยู่เมืองอู้ฮั่น เจียงไม่เห็นว่าใครจะมาลบอำนาจเผด็จการของตนได้ จึงไม่พยายามขัดขวางต่อไป
พรรคคอมมิวนิสต์หวังที่จะหาคะแนนเสียงเพิ่มจากกรรมกรและกสิกร เพื่อดำเนินการแข่งขันกับก๊กมินตั๋งต่อไป ในต้นปี ๑๙๒๗ พรรคคอมมิวนิสต์อ้างว่าตนมีสมาชิกเพิ่มขึ้นเป็น ๕๐,๐๐๐ คนแล้ว แต่สลาตินยังสั่งให้ดำเนินงานภายใต้การนำของก๊กมินตั๋งต่อไป ในเดือนธันวาคม ๑๙๒๖ เขาแสดงความประสงค์ผ่านองค์การคอมมิวนิสต์สากลว่า คอมมิวนิสต์จีนควรทำก๊กมินตั๋งให้อยู่ภายใต้การนำของชนชั้นกรรมาชีพ และถ้าหากคอมมิวนิสต์ไม่มีความสามารถที่จะยึดตำแหน่งความเป็นผู้นำของก๊กมินตั๋ง เขาอาจจะถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ก่อวินาศกรรมแผนการองค์การคอมมิวนิสต์สากลก็ได้
การสิ้นสุดของความสัมพันธมิตรระหว่างก๊กมินตั๋งกับคอมมิวนิสต์ สีแดงของรัฐบาลอู่ฮั่นเริ่มปรากฏชัดขึ้นตามลำดับ ทำให้เจียงหาหนทางกำจัดอิทธิพลของคอมมิวนิสต์เสนอให้ย้ายเมืองหลวงไปตั้งอยู่ที่หนันชังแห่งมณฑล เกียงซี แต่ผู้นำพรรคไม่สนับสนุน เจียงได้ประกาศอย่างเปิดเผยว่าจะกำจัดคอมมิวนิสต์ และในวันที่ ๗ มีนาคม ๑๙๒๗ เขาได้กล่าวโจมตีโบโรดินและที่ปรึกษาชาวรุสเซียซึ่งสนับสนุนปีกซ้าย
ปีกซ้ายของก๊กมินตั๋งตอบโต้เจียงด้วยการเรียกประชุมคณะกรรมการกลาง กับจัดระเบียบพรรคและรัฐบาลเสียใหม่ โดยพยายามจะกำจัดอิทธิพลของเจียง พรรคได้เลือกพวกก๊กมินตั๋งปีกซ้ายเข้าครองตำแหน่งในองค์การต่าง ๆ ของพรรค คณะกรรมการกลางยังสนับสนุนสหพันธ์กรรมกรและสมาคมกสิกร และเรียกร้องให้มีการร่วมมือระหว่างก๊กมินตั๋งและคอมมิวนิสต์มากขึ้น แต่ตำแหน่งของพรรคและของรัฐบาล ยังกีดกันสมาชิกของพรรคคอมมิวนิสต์ดังเดิม
การแตกแยกระหว่างเจียงกับวางจิงวุ่ยได้ถึงขั้นแตกหัก เมื่อเจียงประกาศจัดตั้งรัฐบาลต่อต้านคอมมิวนิสต์จีนใหม่ที่นานกิงในเดือนเมษายน ๑๙๒๗ ในวันที่ ๑๘ เดือนเดียวกันเจียงพร้อมด้วยหูฮั่นหมิน ซึ่งเป็นผู้นำก๊กมินตั๋งฝ่ายขวา ถูกสงสัยว่ามีส่วนพัวพันกับการมาตกรรม เลี่ยวจุ้งไข่และผู้ติดตามของเขา
เจียงไม่สามารถดำเนินตามเจตจำนงของอดีตผู้นำของเขา ในการรักษาสัมพันธมิตรระหว่างก๊กมินตั๋งคอมมิวนิสต์จีนและรุสเซียไว้ได้ ที่ประชุมใหญ่ครั้งที่ ๕ ของพรรคคอมมิวนิสต์ซึ่งได้จัดให้มีขึ้นตั้งแต่ปลายเดือนเมษายนจนถึงพฤษภาคมนั้น ได้ตีความพฤติกรรมของเจียงว่า เป็นตัวแทนของอภิสิทธิ์ชนชั้นกลาง (Bourgeoisie) และเขาได้นำชนชั้นของเขาไปเชื่อมสัมพันธมิตรกับพวกศักดินา และพวกจักรวรรดินิยม เพื่อที่จะกวาดล้างขบวนการเคลื่อนไหวของมวลชนที่เป็นกรรมกรและกสิกร มอสโกพยายามอธิบายว่าเหตุการณ์ครั้งนี้เป็นความก้าวหน้าขั้นหนึ่งของก๊กมินตั๋งที่ได้ทำพรรคบริสุทธิ์ยิ่งขึ้น และสนับสนุนให้พรรคคอมมิวนิสต์ร่วมมือกับก๊กมินตั๋ง ณ อู่ฮั่นตามเดิม ส่วนเฉินตู๊ซิวหัวหน้าพรรคคอมมิวนิสต์นั้นยังคงใจร้อนเช่นเคย อยากจุงดความร่วมมือที่ให้กับพรรคก๊กมินตั๋ง “ปีกซ้าย” เพื่อช่วงชิงความได้เปรียบซึ่งพรรคของตนกำลังอยู่ในระหว่างก้าวหน้า
ในขณะที่สัมพันธภาพระหว่างก๊กมินตั๋ง “ปีกซ้าย” กับคอมมิวนิสต์เสื่อมทรามลงนั้นอิทธิพลของรุสเซียในอู่ฮั่นก็เสื่อมเช่นกัน เมื่อปรากฏหลักฐานเป็นที่เปิดเผยว่า รุสเซียได้ใช้การปฏิวัติจีนเพื่อประโยชน์ส่วนตัว ในต้นปี ๑๙๒๗ จังจว้อหลินผู้ครองนครหลวงปักกิ่งได้ปราบปรามกิจกรรมของรุสเซียในปักกิ่ง ในวันที่ ๑ มีนาคม จังได้ยึดเอกสารโฆษณาลัทธิคอมมิวนิสต์เป็นจำนวนมากจากเรือรุสเซียที่กำลังเดินทางไปอู่ฮั่นที่เมืองผู่โข่ว ในวันที่ ๒๐ มีนาคม รัฐบาลปักกิ่งได้สั่งเจ้าหน้าที่ตำรวจทำการค้นสถานศึกษา และจับกุมนักเรียนในข้อหามีการกระทำเป็นคอมมิวนิสต์เป็นจำนวนมาก
จากการกระทำอันพลการของเหล่าคอมมิวนิสต์และพฤติกรรมของคอมมิวนิสต์รุสเซียในจีน ประกอบกับการกบฏในหนันชัง ในวันที่ ๓๐ กรกฎาคม ๑๙๒๗ ซึ่งเป็นการกระทำของคอมมิวนิสต์เช่นกัน เจียงได้รับอำนาจเต็มที่ในการควบคุมรัฐบาลนานกิงตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ ๑๙๒๘ ในขณะที่วางจิงวุ่ยประกาศตัวเข้าร่วมรัฐบาลนานกิงนั้น เจียงได้ถูกขุนศึกนำโดยกลุ่ม “เนินตะวันตก” โค่นอำนาจไปชั่วขณะ แต่วางจิงวุ่ยร่วมมืออยู่กับพวก “เนินเขาตะวันตก” อยู่ได้ไม่นานก็ถอนตัวไปตั้งรัฐบาลใหม่ที่กวางตุ้ง ในเดือนกุมภาพันธ์ ๑๙๒๘ ได้มีการจัดระเบียบก๊กมินตั๋งใหม่ ณ นานกิง และที่ประชุมคณะกรรมการกลางได้เลือกเจียงเป็นประธาน และแต่งตั้งเขาดำรงตำแหน่งสำคัญอีกหลายตำแหน่ง เจียงรับมอบอำนาจเผด็จการโดยทหารไปจนถึงวันที่ ๑ สิงหาคม ๑๙๒๘
ในขณะที่ความแตกแยกทางการเมืองดำเนินอยู่นั้น การปฏิบัติทางการทหารยังคงดำเนินต่อไป ตั้งแต่ปี ๑๙๒๗ ก๊กมินตั๋งได้กำลังขุนศึกที่สำคัญอีก ๒ คน คือ เอี๋ยนสีซันและเฝิ่งยู่เสียงผู้ประกาศสวามิภักดิ์ต่อพรรคซุนยัดเซ็น ทางเลือกของขุนศึกทางเหนือ คือ การยอมตนให้ถูกทำลายโดยกองทหารที่สวามิภักดิ์ต่อก๊กมินตั๋งและยอมจำนน ขุนศึกหน่วยสุดท้ายที่ต้องเผชิญกับกองทัพก๊กมินตั๋งคือจังจว้อหลินและจังเซียะเหลียงบิดากับบุตร จังจว้อหลินหนีออกจากกรุงปักกิ่งโดยปราศจากความพยายามต่อต้านในเดือนมิถุนายน จังจว้อหลินถูกฆาตกรรมโดยระเบิดรถไฟที่เป็นแผนการของทหารญี่ปุ่นแห่งฐานทัพกวันตุง ในวันที่ ๔ มิถุนายน ๑๙๒๘ สำหรับจังเซียะ เหลียงบุตรและผู้สืบอำนาจแทนจ้งจว้อหลินนั้น ได้รับคำเตือนจาโตเกียวมิให้ร่วมมือกับนานกิง จังได้ปฏิบัติต่อหลายเดือน แต่ในที่สุดในเดือนธันวาคม ๑๙๒๘ เขาได้ซักธงก๊กมินตั๋ง และสมัครใจเข้าร่วมกับรัฐบาลนานกิง รัฐบาลนานกิงได้แต่งตั้งให้เขาดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการอาณาบริเวณแมนจูเรีย เย่อเหอ และส่วนหนึ่งของมองโกเลียใน พร้อมทั้งตำแหน่งผู้บัญชาการทหารหน่วยป้องกันในอาณาเขตบริเวณชายแดนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ การรวบรวมประเทศจีนจึงได้บรรลุผลสำเร็จเป็นครั้งแรกนับแต่จังซุนพยายามจัดตั้งราชวงศ์แมนจูในปี ๑๙๑๗
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น