ในขณะที่ขุนศึกกำลังช่วงชิงกันครอบครองนครหลวงปักกิ่งนั้น ผู้นำฝ่ายทหารบางคนทางใต้ปรารถนาให้จีนมีการปกครองตามระบอบสาธารณรัฐดังที่ซุนยัดเซ็นเสนอ ภายหลังที่หลี่หยวนหูงถูกบีบบังคั้นโดยยุบรัฐสภาในเดือนมิถุนายน ๑๙๑๗ สมาชิกรัฐสภาเป็นจำนวนมากไดรวมกร ณ เมืองเซี่ยงไฮ้ภายใต้อำนาจของซุน สมาชิกเหล่านี้ได้ร่วมกันออกประกาศคำขวัญกล่าวหาการยุบรัฐสภา เผอิญผู้นำในจังหวัดกวางตุ้งและ กวางสีประกาศตั้งตัวเป็นอิสระจากรัฐบาลปักกิ่ง ผู้นำทั้งสองจังหวัดนี้ได้เชิญซุนและสมาชิกรัฐสภา ๒๕๐ คนไปเป็นองค์ประกอบของ “รัฐบาลสาธารณะอันชอบด้วยกฎหมาย” ตั้งอยู่ ณ เมืองกวางตุ้ง และอำนาจการปกครองตลอดทั่วประเทศในเดือนสิงหาคม ๑๙๑๗ รัฐสภาซึ่งประกอบด้วยสมาชิกที่เหลือนั้นได้ให้ความยินยอมเห็นชอบในการจัดตั้งรัฐบาลฉุกเฉินชั่วคราวขึ้นที่เมืองกวางตุ้งโดยมีซุนเป็นหัวหน้า อย่างไรก็ตาม อำนาจที่แท้จริงยังตกอยู่กับนายทหารประจำท้องถิ่นที่สำคัญ คือ ถังจี้เหยาผู้ว่าราชการมณฑลหยุนหนันและกุ้ยโจว และหลูหยู่งถิงผู้นำแห่งมณฑลกวางตุ้งและกวางสี ความจริงความหมายของสัมพันธภาพระหว่างซุนและขุนศึกกวางตุ้งมีแค่การต่อต้านรัฐบาลตวนที่กรุงปักกิ่งเท่านั้น ความแตกแยกภายในจึงได้เกิดขึ้นตามมาในไม่ช้า ในเดือนพฤษภาคม ๑๙๑๘ ขุนศึกได้จัดระเบียบราชการบริหารใหม่โดยลดฐานะความเป็นผู้นำในนามของซุนลงไปอีก ซุนนึกทอดอาลัยในการพัฒนาการของการเมืองไปในทางเสื่อม จึงถอนตัวออกไปตั้งแหล่งสะสมสมัครพรรคพวกของตน ณ เขตนานาชาติในเมืองเซี่ยงไฮ้ตามเดิม
การแตกแยกของขุนศึกทางใต้ยังมีผลให้อำนาจการควบคุมตกไปอยู่ภายใต้เงื้อมมือของสาวกของซุนอีกครั้งหนึ่ง ในเดือนตุลาคม ๑๙๒๐ กลุ่มผู้นำทางทหารประจำมณฑลกวางสีได้ถอนออกไปมณฑลกวางตุ้ง และรัฐบาลทหารที่ได้จัดตั้งขึ้นในเมืองกวางตุ้งในเดือนสิงหาคม ๑๙๑๗ นั้นได้สลายตัว กองทัพชาวกวางตั้งภายใต้การนำของเฉินชุงหมิงได้เคลื่อนควบคุมกวางตุ้ง ในวันที่ ๗ เมษายน ๑๙๒๑ สมาชิกรัฐสภาชุดเดิมประมาณ ๒๐๐ คนได้ร่วมกันประชุม ณ เมืองกวางตุ้ง รัฐสภาได้มีมติเลือกซุนเป็นประธานาธิบดีในวันที่ ๑๐ เมษายน และให้เฉินเป็นผู้ว่าราชการมณฑลกวางตั้งและผู้บัญชาการทหารสูงสุดอีกตำแหน่งหนึ่ง
ความขัดแย้งระหว่างซุนกับเฉินเป็นเหตุให้ซุนต้องหนีไปอยู่เซี่ยงไฮ้ดังเดิมเฉินมีความนิยมไปทางการจัดตั้งระบอบสหพันธรัฐเช่นเดียวกับสหรัฐอเมริกา และไม่สนับสนุนนโยบายเดินทัพขึ้นทางเหนือของซุน ได้พูดว่าจะให้ความสนับสนุน และเมื่อซุนนำกองทัพมุ่งสู่ทางเหนือแต่ประสบความล้มเหลว เฉินถูกตำหนิว่าไม่ให้ความสนับสนุนเพียงพอ ความจริงซุนมีแผนการที่ขาดกำลังสนับสนุนเช่นเดียวกับนักการเมืองที่มักจะตีค่าแห่งความนิยมของตนสูงเกินไป ซุนหวังที่จะได้รับการสนับสนุนจากขุนศึกอื่น ๆ และได้เชื่อมสัมพันธ์กับจังจว้อหลิน ขุนศึกแห่งแมนจูเรีย ในขณะเดียวกับที่เฉินเชื่อมความสัมพันธมิตรกับกลุ่มทหารเขตพระนครอู๋เพ่ยฟู ดังนั้นเมื่อทางเหนือสัมพันธมิตรของฝ่ายซุนเป็นฝ่ายปราชัย ความหวังของซุนที่จะเอาชนะต่ออู๋เพ่ยฟูก็น้อยลง ฐานะของเฉินผู้เป็นมิตรของฝ่ายมีชัยก็ย่อมดีขึ้น และในวันที่ ๙ สิงหาคม ๑๙๒๒ เขาได้ขับไล่ซุนกลับไปอยู่เซี่ยงไฮ้อีกครั้งหนึ่ง
ความล้มเหลวหลายครั้งติดต่อกันดังนี้ มีผลในด้านจิตวิทยาเปลี่ยนแปลงทรรศนะคติของซุนไปจากเดิมเป็นอันมาก เมื่อเริ่มแรกก่อการปฏิวัตินั้น ซุนตั้งตัวเป็นผู้ค้าอุดมประชาธิปไตยในระบอบสาธารณรัฐ แต่ระบอบสาธารณรัฐได้กลายเป็นเครื่องมือของการแสวงหาอำนาจ ซึ่งปรากฏออกมาเป็นการแตกแยกออกเป็นก๊กเป็นเหล่าดัง “เม็ดทรายในถาด” บรรดาหัวหน้าก๊กเหล่านี้บ้างก็แสดงตัวเป็นผู้นิยมระบอบสาธารณรัฐและสนับสนุนซุน แต่การสนับสนุนเช่นนี้จะคงอยู่เฉพาะตราบเท่าระยะเวลาที่ตนต้องการเท่านั้น ในบั้นปลายชีวิตของซุนจะเห็นว่าเขาพยายามขยายฐานะอันเป็นที่ตั้งแห่งอำนาจของตนให้กว้างขวางยิ่งขึ้น ความพยายามเช่นนี้ได้แสดงออกมาให้ปรากฏในการจัดระบบพรรคก๊กมินตั๋งใหม่ ตามแนวของพรรคคอมมิวนิสต์ของสหภาพโซเวียต
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น