นับตั้งแต่การจัดองค์การพรรคใหม่สำเร็จในปี ๑๙๒๔ จนกระทั่งการปฏิรูปพรรคในปี ๑๙๕๐ โครงร่างทั้งในด้านสายการบังคับบัญชาและหลักการของพรรคไม่มีการเปลี่ยนแปลงประการใด
สายการบังคับบัญชาของพรรค สายการบังคับบัญชาของก๊กมินตั๋งอาจแบ่งออกเป็นสี่ขั้น เป็นรูปปิระ มิดตามแบบฉบับของพรรคคอมมิวนิสต์ ชั้นยอดสุดของปิระมิดได้แก่องค์การบริหารพรรคส่วนกลาง ถัดลงมาเป็นองค์การบริหารของพรรคในส่วนจังหวัด และองค์การบริหารของพรรคในส่วนตำบลที่เรียกว่า ชวี ยังมีองค์การของพรรคที่พิเศษ และถูกจัดเข้าร่วมอยู่โครงรูปปิระมิดของพรรคดังกล่าวแล้ว สมาชิกของพรรคบางกลุ่มเป็นกรรกรรถไฟ กรรมกรท่าเรือ เนื่องจากมีสถานะพิเศษในสถานที่อยู่ หรือในด้านอาชีพ จึงรวมตัวกันจัดตั้งองค์การของพรรคขึ้นเป็นพิเศษและให้อยู่ภายใต้การควบคุมโดยตรงขององค์การบริหารของพรรคในส่วนกลาง องค์การบริหารของพรรคที่เป็นจีนโพ้นทะเล องค์การบริหารของพรรคในหน่วยราชการทหาร ขึ้นตรงต่อองค์การของพรรคส่วนกลางเช่นกัน
ตามรัฐธรรมนูญของพรรค คณะกรรมการกลางของพรรคเป็นองค์การที่มีอำนาจสูงสุดในระหว่างที่ไม่อยู่ในสมัยการประชุมใหญ่ ส่วนคณะกรรมการควบคุมส่วนกลาง มีแต่อำนาจหน้าที่ในด้านควบคุมระเบียบวินัยและการเงินของพรรคเท่านั้น
สายการบังคับบัญชานั้นถือตามแบบฉบับของพรรคคอมมิวนิสต์โซเวียต ก๊กมินตั๋งยึดถือหลักการที่เรียกว่า “ประชาธิปไตยบงการ” ซึ่งหมายความว่า สมาชิกของพรรคที่จะออกความเห็นและถกเถียงปัญหาใด ๆ ของพรรคได้ แต่เมื่อพรรคใดลงมติเป็นประการใดในปัญหานั้นแล้ว สมาชิกทุกคนในระดับเดียวกันหรือต่ำกว่าต้องเชื่อฟังและปฏิบัติตาม โครงร่างของพรรคซึ่งได้รับความเป็นชอบจากคณะกรรมการกลางในเดือนกันยายน ๑๙๔๗ นั้น ได้ให้ความหมายหลักประชาธิปไตยบงการว่า “เจ้าหน้าที่ทุกระดับจะต้องได้รับการเลือกตั้งตามกรรมวิธีการที่เป็นประชาธิปไตย ฝ่ายข้างน้อยจะต้องเคารพฝ่ายข้างมาก หัวหน้าจะต้องเป็นผู้นำพรรคทั้งหมด เจ้าหน้าที่ชั้นต่ำกว่าจะต้องเชื่อฟังเจ้าหน้าที่ชั้นสูงกว่า องค์การที่มีอยู่ในทุก ๆ ระดับจะต้องเสนอรายงานต่อสมาชิกของตนเป็นประจำ สมาชิกเหล่านั้นจะต้องตำหนิติชมงานอย่างละเอียดลออ และอยู่ในฐานะที่จะเปิดให้มีการวิพากษ์วิจารณ์ซึงกันและกันอย่างเปิดเผย
ดังนั้นจะเห็นว่าผู้นำของพรรคได้แก่คณะกรรมการกลาง ( Centeal Committee ) หรือ คณะกรรมการสามัญ( Standing Committee ) ของคณะกรรมการกลางในกรณีก่อนปี ๑๙๓๘ และหัวหน้าพรรคภายหลังจากนั้นมีอภิสิทธิ์ใช้อำนาจเต็มในการนำ และวางระเบียบให้แก่องค์การของพรรคและสมาชิกของพรรค เนื่องจากคณะกรรมการพรรคดังกล่าวก็ดี หัวหน้าพรรคก็ดี ได้รับการเลือกตั้งมาอย่าง “ประชาธิปไตย” เขาย่อมอ้างว่าอำนาจสูงสุดของเขามาจากเจตนารมณ์ของสมาชิกพรรค
อย่างไรก็ตาม ในทางปฏิบัติที่แล้วมา คำว่า “ประชาธิปไตย” มักจะไม่ได้รับการเอาใจใส่เท่ากับคำว่า “บงการ” คณะกรรมการบริหารของพรรคในส่วนจังหวัดนั้น ส่วนมากได้รับการแต่งตั้งจากคณะกรรมการบริหารส่วนกลาง แทนที่จะได้รับการเลือกตั้งจากที่ประชุมของพรรคในส่วนจังหวัดตามทฤษฎี ดังนั้น ใครก็ตามสามารถควบคุมองค์การพรรคส่วนกลางได้ย่อมสามารถควบคุมพรรคได้
สมาชิกของพรรค ตัวเลขจำนวนของสมาชิกของพรรคนั้นไม่เคยปรากฏที่แน่นอน ทั้งนี้เพราะเนื่องด้วยลักษณะพิเศษของพรรคภายหลังการจัดระเบียบพรรคใหม่เล็กน้อย พรรคถือว้าทหารทั้งหมดที่สังกัดกองทัพก่อนการปฏิวัติเป็นสมาชิกของพรรคโดยอัตโนมัติ กองทัพก่อนการปฏิวัตินั้นมีจำนวนเปลี่ยนไปเสมอ การรับสมาชิกเพิ่มขึ้นใหม่และการพยายามแทรกเพิ่มจำนวนทหารอาจจะไม่เกินกว่าจำนวนสมาชิกที่ถูกขับไล่ออกจากพรรคมากเท่าไรนัก เพราะถูกกล่าวหาว่าเป็นซ้ายจัดและขวาจัด แต่ถ้าเพิ่มจำนวนสมาชิกของ “ยุวสมาคมลัทธิไตรราษฎร์” ( San-Min-Chu-I Youth Corps) ซึ่งมีอายุอยู่ในระหว่าง ๑๙๓๙ ถึง ๑๙๔๗ และอ้างว่ามีจำนวนสมาชิกถึง ๓,๐๐๐,๐๐๐ คนในปี๑๙๔๕ แล้ว นับว่าจำนวนสมาชิกของพรรคได้เพิ่มขึ้นตามลำดับการรับบุคคลเป็นสมาชิกของพรรคนั้น มีกฎเกณฑ์เช่นเดียวกับพรรคการเมืองที่ก้าวหน้าของประเทศอื่น ๆ วิธีการรับสมาชิกของชนชั้นพ่อค้าและกรรมกรคือ ในขั้นแรกพรรคจะจัดตั้งสหพันธ์พ่อค้าหรือสหพันธ์กรรมกรแล้วแต่กรณี หรือพยายามแทรกเข้าไปควบคุมกิจการของสหพันธ์ในกรณีที่สหพันธ์ได้จัดตั้งอยู่ก่อนแล้ว เมื่อเห็นสมควรแล้วพรรคจะออกคำสั่ง หรือใช้วิธีชักจูงสมาชิกของสหพันธ์นั้น ๆ บางส่วนหรือทั้งหมดสมัครเข้าเป็นสมาชิกของพรรค เทคนิคเช่นเดียวกันนี้ได้นำไปใช้กับในสังคมกสิกร ผิดกันแต่ว่าพรรคไม่สามารถหาเสียงสนับสนุนจากกสิกรได้มาก สมาชิกของพรรคที่รับเข้าใหม่ ที่สำคัญมาจากนักเรียนที่จบจากโรงเรียนชั้นมัธยมและมหาวิทยาลัย ผู้ซึงภายหลังที่ออกจากโรงเรียนหรือมหาลัยแล้วก็เข้ารับราชการในกระทรวง ทบวง กรม ของรัฐบาล หรือเป็นลูกจ้างขององค์การบริหารของพรรค อย่างไรก็ตาม ปรากฏว่าในระยะหลัง ๆ พวกนี้ขาดความเลื่อมใสในพรรคและสมัครเข้าเป็นสมาชิกของพรรคน้อยลงตามลำดับ แต่ก็ยังจัดอยู่ในกลุ่มที่มากที่สุดในจำนวนสมาชิกที่เข้ารับใหม่ ถ้าจะแบ่งชั้นตามประเพณีนิยมของจีน คือ ผู้มีคุณวุฒิในด้านความรู้กสิกร พ่อค้า และศิลปิน ทั้งนี้ไม่รวมกลุ่มทหาร
หัวหน้าพรรค สำหรับผู้มีหน้าที่รับผิดชอบของพรรค โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตำแหน่งสูง ๆ นั้น ส่วนมากเป็นสมาชิกเก่าที่สมัครใจเข้าร่วมก็การปฏิวัติตำแหน่งสูงสุดของพรรคนั้นเมื่อครั้งซุนยังมีชีวิตอยู่ เขาย่อมได้รับการยกย่องว่าเป็นหัวหน้าพรรคอยู่ตลอดเวลา เขารับได้ขนานนามว่าเป็นผู้จัดการ(จุ่งหลี่) นั่นคือประธานของสมาคมบูรณะจีน(ซิงจุงหุ้ย) สมาคมสหชน(ถุงเหมิงหุ้ย) พรรคปฏิวัติจีน (จุงกว๋อ เก๋อมิ่นตั่ง) และพรรคประชาชนแห่งประเทศจีน(จุงกว๋อกว๋อหมินตั่ง) หลังจากซุนถึงแก่กรรมแล้ว ที่ประชุมใหญ่ครั้งที่ ๒ ของพรรคได้มีมติรักษาตำแหน่งประธานของพรรคไว้ให้แก่ซุนตลอดกาล เพื่อเป็นเกียรติแก่เขาในฐานะเป็นผู้ก่อตั้งพรรค และให้อำนาจหน้าที่ของประธานพรรคตกอยู่แก่คณะกรรมการบริหารส่วนกลางของพรรค
ชื่อเรียกของหัวหน้าพรรคจะมีประการใดก็ตาม บุคคลที่กุมอำนาจของพรรคที่แท้จริงภายหลังการถึงแก่สัญกรรมของซุนยัดเซ็นได้แก่เจียงไคเช็ค หนุนด้วยลูกศิษย์ซึ่งเป็นนายทหารที่จบจากโรงเรียนที่สร้างขึ้นโดยความช่วยเหลือของศัตรู คือ โซเวียต เจียงสามารถกำจัดฝ่ายซ้ายนำโดยวางจิงวุ่ย และฝ่ายขวานำโดย หู ฮั่นหมิน ออกไปจากตำแหน่งผู้สืบทายาทขิงซุน ต่อมาในปี ๑๙๓๘ สถานการณ์ทางการเมืองของจีนได้เปลี่ยนแปลงไป สงครามระหว่างจีนกับญี่ปุ่นเริ่มขึ้นแล้ว ได้มีมติให้แก้ไขรัฐธรรมนูญของพรรคโดยกำหนดให้มีตำแหน่งผู้อำนวยการ(จุ่งไฉ) หรือประธานของพรรคขึ้นอีกตำแหน่ง สำหรับให้เจียงไคเช็ค
ก๊กมินตั๋งยังคงบวงสรวงวิญญาณของซุน ด้วยการประกาศว่า ตำแหน่งความเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดของพรรคไม่มีการเปลี่ยนแปลงไคเช็คให้อำนาจสูงสุดแทนเท่านั้น อาจเป็นโชคของซุนที่ได้ถึงแก่กรรมเสียเร็ววัน เพราะเจียงไม่สนที่จะแข่งวาสนากับสิ่งที่ไม่มีตัวตนและไม่สามารถใช้อำนาจได้ ตั้งแต่พรรคได้สร้างตำแหน่งผู้อำนวยการพรรคเป็นต้นมา ทฤษฎีที่ว่าอำนาจสูงสุดของพรรคตกอยู่แก่ที่ประชุมใหญ่ของพรรคในสมัยที่มีการประชุม และคณะกรรมการบริหารส่วนกลางในกรณีที่พรรคไม่ได้อยู่ในสมัยประชุมนั้น ก็ขาดความศักดิ์สิทธิ์ไป ทั้งนี้ผู้อำนวยการพรรคมีอำนาจสมบูรณ์ในการที่จะโต้แย้งมติของคณะกรรมการบริหารส่วนกลางของพรรค เขาอาจเสนอมตินั้น ๆ ให้มีประชุมใหญ่พิจารณายกเลิกหรือแก้ไขใหม่ได้เจียงยังไปนั่งเป็นประธานกรรมการกลางประจำของคณะกรรมการบริหารส่วนกลาง เจียงได้รับอำนาจอย่างเต็มที่ ตั้งแต่ปี ๑๙๓๘ เป็นต้นมาจนกระทั่งทุกวันนี้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น