กบฏไถ้ผิงถือได้ว่าเป็นต้นตระกูลของการปฏิวัติในสมัยหลัง ๆ และมีพฤติกรรมใกล้เคียงกับการปฏิวัติเพื่อสถาปนาสาธารณรับประชาชนจีนเป็นอย่างมาก โดยที่พฤติกรรมทั้งสองเป็นการแสดงออกเพื่อรับภัยพิบัติในทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในประเทศจีนประการหนึ่ง ทั้งสองเป็นผลเกิดจากการรุกรานจากภายนอก กล่าวคือ การรุกรานจากชาวตะวันตกนำโดยประเทศอังกฤษในกรณีกบฏไถ้ผิง และการรุกรานจากญี่ปุ่นในกรณีการปฏิวัติเพื่อจัดตั้งระบบคอมมิวนิสต์อีกประการหนึ่ง และทั้งสองพฤติกรรมได้ก่อขึ้นโดยผู้นำเข้าที่เข้มแข็ง โดยรับเอาอุดมการณ์ต่างด้าวมาใช้ และปฏิเสธขนบธรรมเนียมประเพณีที่มีมาแต่โบราณกาลอย่างสิ้นเชิง อุดมการณ์นั้น ๆ ก็คือศาสนาคริสต์และลัทธิมาร์กซ์
นักประวัติศาสตร์ส่วนมากกล่าวหาผู้นำกบฏไถ้ผิงว่าเป็นคนบ้าบิ่น และเป็นสัตว์กระหายเลือด โดยให้ชื่อพวกกบฏนี้ว่า “แก๊งโจรผมยาว” (“Long – Haired Bandits”) หนึ่งศตวรรษหลังจากการปฏิวัติได้ล้มเหลวลง เขากลับได้รับการยกย่องจากนักชาตินิยมชาวจีนว่าเป็นผู้รักชาติ และได้รับการยกย่องจากจีนคอมมิวนิสต์ว่าเป็นหน่วยแนวหน้าของลัทธิสังคมนิยม ปรากฏว่าในต้นปี ๑๙๓๐ ได้มีการค้นพบเอกสารสำคัญของพวกกบฏไถ้ผิงเป็นอันมาก ภายหลังที่จีนคอมมิวนิสต์ได้ปกครองประเทศจีนบนผืนแผ่นดินใหญ่แล้ว เหตุการณ์กบฏไถ้ผิงได้รับการพิจารณาว่าเป็นขั้นทดลองของระบอบสังคมนิยม ผู้นำของกบฏไถ้ผิงได้รับยกย่องให้เป็นวีรบุรุษผู้ซึ่งรักประชาชนโดยปราศจากความเห็นแก่ตัว ในทางตรงกันข้าม แม่ทัพผู้ปราบกบฏไถ้ผิง เช่น เจิงกว๋อฟัน ซึ่งแต่เดิมถือกันเป็นวีรบุรุษนั้น กลับถูกลดฐานะเป็นผู้ทรยศต่อประชาชนและเป็นผู้นำของพวก ถอยหลังเข้าคลอง ดังนั้นกบฏไถ้ผิงจึงมีความสำคัญในทางการเมืองของจีนอยู่จนกระทั่งทุกวันนี้
ขบวนการกบฏไถ้ผิงนำโดยชนจีนแคะชื่อ หุงซิ่วฉวน หุงซิ่วฉวนเกิดในปี ๑๘๑๔ เขาได้เริ่มศึกษาตำราขงจื๊อ โดยมีความมุ่งหวังที่จะเข้ารับราชการ แม้จะปรากฏตามหลักฐานว่า เขาเป็นเด็กที่มีความฉลาดมาก แต่ก็ได้ผิดหวังจากการสอบแข่งขันในส่วนจังหวัดเมื่อเขามีอายุ ๑๖ ปี ในระหว่างปี ๑๘๓๐ – ๑๙๔๓ เขาได้ตั้งตัวเป็นครูสอนหนังสือในโรงเรียนตามหมู่บ้านโดยยังไม่ได้ละทิ้งความตั้งใจเดิมที่จะยึดถือตำแหน่งข้าราชการเป็นอาชีพ ผู้ที่สอบตกจากการสอบไล่ทั่วไปในจังหวัดอาจมีสิทธิเข้าสอบในภาคได้ หุงซิ่วฉวนได้เตรียมตัวเข้าสอบไล่ในภาคอีก ๓ ครั้ง คือ ปี ๑๘๓๔ ๑๘๓๗ และ ๑๘๔๓ แต่ก็ได้รับการผิดหวังทุกครั้ง เมื่อเขาผิดหวังในการสอบปี ๑๘๓๗ นั้น ก็ได้ล้มเจ็บอย่างหนัก ตามเรื่องกล่าวว่า ในขณะที่เขาเจ็บหนักอยู่นั้น เขาได้มองเห็น ภาพหลอนของพระผู้เป็นเจ้า ความรู้เรื่องศาสนาคริสต์ซึ่งเขาได้สนใจเรียนรู้มาจากหมอสอนศาสนานิกาย โปรเตสแต้นท์ เมื่อเขามีอายุประมาณ ๒๐ ปีนั้น เป็นแนวทางชักนำให้เขาวาดภาพศาสนาคริสต์ในจินตนาการของเขาขึ้น โดยดัดแปลงศาสนาคริสต์เป็นศาสนาคริสต์องค์ ๓ (Christian Trinity) ได้แก่ องค์ศาสดาหรือเจ้าพ่อ เจ้าพี่เอื้อย และเจ้าพี่จ้อย
ตามคำสอนของเขาซึ่งได้เริ่มเผยแพร่อยู่แถบมณฑลกวางตุ้ง ตั้งแต่ปี ๑๘๔๔ ภายหลังที่เขาต้องถูกออกจากอาชีพครูเพราะแสดงความไม่เคารพต่อสถานที่บูชาขงจื๊อ เขาได้รับมอบเจตนารมณ์จากพระเจ้า ให้เป็นผู้ครองแผ่นดินแทนราชวงศ์แมนจู ในขณะเดียวกัน เฝิงหยุนซัน ได้รวบรวมสาวกของหุงซิ่วฉวนจัดตั้งสมาคมศาสนาคริสต์ขึ้น โดยมีศูนย์กลางอยู่ที่มณฑลกวางสี และในปี ๑๘๔๗ หุงเข้าเข้ารับตำแหน่งเป็นผู้นำของสมาคมศาสนากึ่งการเมือง ซึ่งมีสมาชิกอยู่ประมาณ ๓,๐๐๐ คน
สมาชิกของสมาคมนี้ได้เพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็ว สมาชิกส่วนมากมาจากกสิกรชาวแคะผู้ยากจนและกรรมกรชาวเผ่าแม้ว นอกจากนั้นยังมีกลุ่มนักศึกษาผู้มีหัวคิดรุนแรง นักรบ รวมตลอดถึงพ่อค้าและชนชั้นผู้ดีทั้งหลายซึ่งมีความไม่พอใจในรัฐบาล เนื่องจากการรวมตัวกันแบบนี้เต็มไปด้วยนักฉวยโอกาสต่าง ๆ การแบ่งพรรคแบ่งพวกและแย่งชิงกันเป็นใหญ่ในสมาคมก่อให้เกิดการแตกแยกนั้นมีอยู่เสมอ หุงซิ่วฉวนเป็นคนมีความสามารถรวบรวมให้เป็นปึกแผ่นอันเดียวกันได้ ไม่นานกิ่งก้านสาขาของสมาคมนี้ก็ได้แตกแยกไปในส่วนภูมิภาคต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งทางตะวันออกของมณฑลกวางสี นอกจากนั้นสมาคมลับเป็นจำนวนมากได้ให้ความสนับสนุน สมาคมนี้ผิดกับสมาคมลับในข้อที่ว่า สมาคมนี้ได้มีนโยบายแจ่มแจ้งแล้วว่า ต้องการจะจัดตั้งราชบัลลังก์ขึ้นใหม่ตามอุดมการณ์ของหุงซิ่วฉวน นอกจากนั้นกิจการของสมาคมลับที่หวังการกลับคืนอำนาจของราชวงศ์หมิงนั้น เป็นสิ่งที่ไร้ความหมายในสายตาของหุงซึ่งเป็นคนนอกรีตไปเสียแล้ว ในปี ๑๘๕๐ ปรากฏว่าสมาคมนี้มีผู้สนับสนุนถึง ๓๐,๐๐๐ คน ในจำนวนนี้มีอยู่ไม่น้อยที่ได้เริ่มก่อความไม่สงบอยู่ตามท้องถิ่นต่าง ๆ
ในปี ๑๘๕๐ รัฐบาลได้ประกาศกล่าวหาสมาคม โดยให้ชื่อว่าเป็นสมาคมก่อกวนความสงบ และเมื่อรัฐบาลเริ่มลงมือปราบปราม หุงพร้อมด้วยสมัครพรรคพวกรวม ๑๐,๐๐๐ คน ก็ได้ตั้งตนเป็นกบฏอย่างเปิดเผย โดยเข้าทำลายกำลังของรัฐบาลในมณฑลกวางสี และในวันที่ ๒๕ กันยายน ๑๘๕๑ หลังจากได้ ยึดครองหยุ่งอันแล้ว สมาคมก็ได้สถาปนาชื่อประเทศใหม่ขึ้น เรียกว่า ไถ้ผิงเทียนกว๋อ (รัฐสันติวิมาน) แม้ว่ากำลังทหารฝ่ายรัฐบาลจะมีเหนือกว่า ก็ไม่สามารถปราบปรามพวกกบฏได้
ในระหว่างปี ๑๘๕๐ – ๑๘๕๓ ฝ่ายกบฏได้ชัยชนะในการสงครามตลอดมา กำลังได้เคลื่อนจากมณฑลกวางสีเข้ายึดได้หูหนัน หูเป่ย ดินแดนแถบลุ่มแม่น้ำแยงซี และในที่สุดยึดได้นานกิง หุงได้เปลี่ยนชื่อนานกิงเป็นเทียนจิง (วิมานนคร) แม้ว่ากำลังฝ่ายรัฐบาลจวนจะถึงซึ่งความพินาศ แต่ว่ากำลังฝ่ายกบฏก็เริ่มอ่อนแอลงด้วยความแตกแยกกันระหว่างแม่ทัพนายกอง และหุงซิ่วฉวนเองก็พอใจในความสุขจากสนมกำนัลในราชสำนัก ถ้าหากฝ่ายกบฏได้ใช้ความพยายามเพิ่มขึ้น ก็อาจจะยึดประเทศจีนได้ทั้งหมด เพราะว่าในขณะนั้นทางเหนือก็เกิดโจรกรรมชุกชุม และชาวมอสเลมทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือก็กำลังจะก่อหวอดทำการกบฏเช่นกัน แทนที่จะเคลื่อนทัพอันเกรียงไกรต่อไปอีก แต่ก็หยุดนิ่งอยู่กับที่ ในช่วง ๑๐ ปี นับตั้งแต่ปี ๑๘๕๓ เป็นต้นไป นานกิงก็อยู่ในฐานะตั้งรับ และในปี ๑๘๖๔ ทหารที่จงรักภักดีต่อราชวงศ์แมนจูก็สามารถยึดจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญ ๆ ได้ หุงเองต้องฆ่าตัวตาย กบฏก็ราบคาบลง
อุดมการณ์และการปฏิบัติของกบฏไถ้ผิง ภายหลังจากการยึดครองนานกิงได้แล้ว รัฐบาลกบฏไถ้ผิงเริ่มวางโครงการปฏิรูปการเกษตร แต่เนื่องจากขบวนการกบฏไถ้ผิงครองอำนาจอยู่ได้ไม่นาน โครงการที่ตั้งไว้จึงมิได้นำไปปฏิบัติ อย่างจริงจังแต่อย่างใด ตามเอกสารโครงการปฏิรูปที่ดินนั้น มีระบบคล้ายกับระบบบ่อนาที่เชื่อกันว่าใช้กันอยู่ในสมัยราชวงศ์ซังและโจว และมีลักษณะคล้ายคลึงกับระบบการจัดสรรที่ดินในลัทธิคอมมิวนิสต์มาก
ระบบการจัดสรรที่ดินตามโครงการของรัฐบาลกบฏไถ้ผิง กล่าวโดยย่อก็คือ ให้ถือว่าที่ดินและผลิตผลทั้งหมดเป็นของรัฐ รัฐมีหน้าที่ดูแลสวัสดิภาพของเด็ก คนชรา ผู้อ่อนแอ และบุคคลทุพพลภาพ รัฐรับหน้าที่รักษาพยาบาลผู้ได้รับความเจ็บป่วยตามหลักประกันสังคมสมัยใหม่ รัฐเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายในการแต่งงานและการทำศพของประชาชน บุคคลทั้งชายและหญิงผู้อยู่ในระหว่างอายุ ๑๖ ปี ๕๐ ปี จะได้รับส่วนแบ่งในที่ดินเท่ากัน เพื่อใช้ในการเพาะปลูก และให้ประชาชนถือธัญญาหารได้เฉพาะที่จำเป็นแก่การครองชีพเท่านั้น
ที่ดินที่ใช้ในการเพาะปลูกให้แบ่งออกเป็น ๙ ระดับตามคุณภาพของเนื้อที่ ให้ทุกคนได้รับ ส่วนแบ่งในที่ดินดีเลวในอัตราเท่าเทียมกัน นอกจากที่ดินเพื่อใช้ในการเพาะปลูกแล้ว ราษฎรยังจะต้องทำอุตสาหกรรมครอบครัว และเลี้ยงสัตว์เพื่อเป็นการเพิ่มผลิตผล ผลิตผลที่ได้จาการการนี้ให้ตกเป็นของชุมชน คล้ายกับระบอบคอมมูนในสมัยหลังของจีนคอมมิวนิสต์ หุงให้อรรถาธิบายแผลงมาจากศาสนาคริสต์ว่า ทุกคนภายใต้สวรรค์เป็นพี่น้องครอบครัวเดียวกัน ภายใต้ความโอบอ้อมอารีและการนำขององค์พระศาสดาเบื้องบนสวรรค์ และกษัตริย์แห่งพื้นพิภพ ณ เมืองนานกิง ให้ทุกคนละทิ้งจากการเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัวและทำงานในที่ดินสาธารณะเพื่อประโยชน์ของสาธารณะอย่างร่วมทุกร่วมสุขด้วยกัน
แม้ว่าโครงการจะได้วางไว้อย่างละเอียดสักปานใด ก็ไม่ได้ถูกนำไปใช้อย่างที่ขีดเขียนไว้ บนแผ่นกระดาษ จากการค้นคว้าเร็ว ๆ นี้ ปรากฏว่าโครงการนี้ได้นำไปใช้ในชั่วระยะเวลาสั้น และในผืนแผ่นดินไม่กี่หย่อม เฉพาะพื้นที่ที่มีการนำเอาโครงการนั้นไปใช้ปฏิบัติก็ไม่ได้ปฏิบัติอย่างสมบูรณ์ตามโครงการที่เขียนไว้ แต่แก้ไขอนุโลมไปตามความจำเป็นในเมื่อโครงการนี้ไม่ได้รับความร่วมมืออย่างดีจากประชาชน จากหลักฐานของนักสังเกตการณ์บางคนกล่าวว่า ระบบคอมมิวนิสต์ได้ใช้ปฏิบัติในเขตนานกิงภายหลังจากพวกกบฏไถ้ผิงได้ครอบครองนานกิงแล้ว
ข้อที่น่าสังเกตคือเรื่องสิทธิของสุภาพสตรี นับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์จีน ที่รัฐบาลไถ้ผิงได้ประกาศให้สตรีมีสิทธิเท่าเทียมกับบุรุษ ในระหว่างทำการปฏิวัตินั้น หญิงเป็นจำนวนมากได้มีส่วนร่วมในกิจกรรมต่าง ๆ ในกองทัพเช่นเดียวกับขบวนการย้ายที่มั่นมาราธอน (The Long March) ของเมาเซตุงจากมณเฑียรเกียงซีไปยังเมืองเอี๋ยนอัน ในปี ๑๙๓๔ – ๑๙๓๖ และเมื่อมีการล่วงละเมิดทางเพศมากขึ้น ผู้นำได้ขจัดปัญหานี้ด้วยการแบ่งค่ายของหญิงออกต่างหาก ภายใต้การบังคับของทหารหญิง เมื่อพวกกบฏครอบครอง นานกิงแล้ว สุภาพสตรีได้รับสิทธิเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์โดยให้เข้าทำการสอบไล่ทั่วไปของจีนได้ และ ผู้มีความสามารถสอบได้ ก็ให้รับตำแหน่งในหน้าที่เลขานุการ การปฏิบัติของสุภาพสตรีในการหุ้มห่อให้เท้าเล็กและยาวเพียง ๓ นิ้วก็ดี อาชีพหญิงโสเภณีในสมัยแมนจูก็ดี ได้ถูกประกาศห้ามเด็ดขาด แม้ว่าการปฏิรูปเหล่านี้จะได้ปฏิบัติในระยะเวลาสั้นและไม่ทั่วถึง แม้ในสังคมที่อยู่ในความครอบครองของพวกกบฏไถ้ผิงก็ตาม อุดมการณ์สมัยใหม่ก็ได้ปรากฏในสังคมจีนเมื่อสมัย ๑๐๐ ปี ล่วงมาแล้ว
สำหรับปัญหาการสูบฝิ่นนั้น รัฐบาลไถ้ผิงได้ห้ามปรามอย่างเด็ดขาด ผู้สูบฝิ่นและสูบบุหรี่ มีโทษถึงประหารชีวิต จึงถือได้ว่ารัฐบาลไถ้ผิงได้เป็นห่วงเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษนี้อย่างมาก
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น