การมองจีนคงจะ ต้องมองในลักษณะพลวัตอย่างวิเคราะห์ ทั้งจุดแข็งและจุดอ่อนอย่างสลับซับซ้อน เราไม่อาจตีความจากสถิติแบบสุดโต่งอย่างง่าย ๆ ได้ เช่น ประเด็นที่จีนมีอัตราการเจริญเติบโตของ GDP ในระดับสูงราว 10% ในสองทศวรรษที่ผ่านมาอย่างต่อเนื่อง และยังคงโตได้อย่างน้อยปีละ 7% ต่อไป แม้ในยามเศรษฐกิจโลกเกิดวิกฤติถดถอยนั้น ไม่ได้แปลว่าจีนจะมีพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่เข้มแข็งทุกด้านโดยไม่มีทางสะดุด ได้เลย เราคงจะต้องประเมินฐานะทางเศรษฐกิจของจีนจากหลาย ๆ ปัจจัยประกอบกัน และต้องมองสถิติการเติบโตของ GDP จีน อย่างวิพากษ์วิจารณ์ เพราะว่า
1. สถิติการเติบโตของ GDP ของจีนมาจากหน่วยราชการและรัฐวิสาหกิจต่าง ๆ ซึ่งความดีความชอบขึ้นอยู่กับความสำเร็จในการพัฒนาเศรษฐกิจ มีความเป็นไปได้ว่าสถิติที่รายงานอาจสูงเกินความจริงอยู่บ้าง
2. จีนเริ่มจากฐาน GDP ที่ต่ำเนื่องจากค่าครองชีพต่ำ มูลค่าสินค้าต่ำ เมื่อสินค้าขยับราคาสูงขึ้น คืออัตราเงินเฟ้อสูง มูลค่า GDP ก็ต้องเพิ่มสูงตามไปด้วย
3. การที่จีนกำลังเปลี่ยนระบบเศรษฐกิจ จากระบบวางแผนจากส่วนกลางให้เป็นระบบตลาดเพิ่มขึ้น เช่น การขายรัฐวิสาหกิจต่าง ๆ, การที่คนจีนจะต้องผ่อนซื้อบ้านที่ตนเคยเช่าจากรัฐได้ในราคาถูกมาก, การเปลี่ยนจากระบบเกษตรเพื่อกินเป็นเกษตรเพื่อขาย จะทำให้สินค้าเพิ่มราคา ค่าจ้างแรงงานต้องปรับสูง, มีการซื้อขายมากขึ้น มูลค่า GDP ก็ต้องเพิ่มขึ้นตามตัว ทั้ง ๆ ที่คนจีนก็อยู่บ้านเดิม การกินอยู่ก็อาจจะไม่ได้ต่างจากเดิมมากนัก
4. GDP ที่เพิ่มอัตราสูงนั้นส่วนใหญ่มาจากภาคอุตสาหกรรม การค้า การบริการในเมือง โดยเฉพาะมณฑลฝั่งตะวันออกและภาคใต้ ภาคเกษตรเติบโตช้ากว่าภาคอื่นมากในช่วง 5-10 ปีหลัง คนว่างงานในชนบทมาก คน 62 % ยังอยู่ในชนบท แรงงาน 50% อยู่ภาคเกษตร
5. มีรัฐวิสาหกิจที่ขาดทุน ที่อาจต้องยุบทิ้งจำนวนมาก ธนาคารของรัฐก็ปล่อยหนี้เสีย 30-40% ที่อาจเป็นปัจจัยลบให้มูลค่า GDP ในช่วงต่อไปชลอตัวลงได้ เหมือนที่เคยเกิดขึ้นในรุสเซีย และยุโรปตะวันออกมาแล้ว
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น