การปฏิวัติครั้งที่ ๑ ปี ๑๙๑๑ และการปฏิวัติครั้งที่สอง ปี ๑๙๓ ได้ประสบความล้มเหลว เป็นที่เห็นได้ว่าระบบสาธารณรัฐมีชีวิตอยู่ไม่ได้ภายใต้การนำของหยวน ความล้มเหลวครั้งนี้ แสดงให้เห็นว่าพลังแห่งอุดมการณ์ระบอบสาธารณรับยังไม่แรงพอที่จะผลักดันนโยบายปฏิวัติ ๓ ประการ ของซุนให้บรรลุผล นักการเมืองทั้งหลายพากันแสวงหาผลประโยชน์ใส่ตัว แม้แต่สมาชิก ก๊กมินตั๋งเองก็ตกเป็นเหยื่อของเครื่องล่อใจ ในระยะใกล้เคียงกับการปฏิวัติครั้งที่ ๒ นั้น ปรากฏว่าลูกพรรค ก๊กมินตั๋งยังยึดถือป้ายพรรคอยู่เพียง ๑๕๐ คนเท่านั้น
การปฏิวัติมิได้รับการสนับสนุนจากมวลชน ชาวจีนส่วนมากสำนึกแต่เพียงที่จะโค่นล้มราชวงศ์แมนจู และการแอนตี้จักรวรรดินิยมเท่านั้น นักการเมืองเป็นอันมากถือระบบพรรคการเมืองเสมือนหนึ่งสมาคมการค้า บ้างก็เป็นสมาชิกของ ๒ พรรค หรือมากกว่านั้นขึ้นไปเพื่อเป็นเกียรติแก่พรรค นโยบายของพรรคก็ไม่มีอะไรที่แตกต่างกันมากนัก ในทางตรงกันข้าม หยวนเป็นคนเข้มแข็ง กล้าใช้เครื่องมือที่ตนมีอยู่ทุกวิถีทางโดยไม่ยอมเข้าใจหลักการปฏิวัติหรือระบบสาธารณรัฐแต่ประการใด ประวัติศาสตร์ไม่ควรกล่าวว่าหยวนแต่คนเดียว เป็นประเพณีของคนจีนที่ใครเป็นใหญ่แล้วผู้มีโอกาสอยู่ใกล้ชิดมักจะหลับตาเดินตาม หลี่หยวนหูง รองประธานาธิบดีซึ่งถือว่าเป็นตัวแทนของฝ่ายก่อการปฏิวัติ ก็กลายเป็นคนในครอบครัวเดียวกันของหยวนไป หยวนได้รับความร่วมมือจากข้าราชการอาวุโสผู้ซึ่งเป็นศัตรูของการเปลี่ยนแปลงอย่างฉาบฉวย เขาได้รับการสนับสนุนจากผู้เดินสายกลาง เหลียงฉี่เชาและพรรคก้าวหน้า (จิ้นปู้ตั่ง) นอกจากนั้นมหาอำนาจต่างประเทศผู้ซึ่งมีความหวั่นเกรงต่อพลังแห่งลัทธิชาตินิยมที่กำลังงอกงามในบรรดานักก่อการปฏิวัติ ก็พร้อมใจกันให้ความช่วยเหลือหยวนในด้านการเงิน
ภายหลังหยวนได้ชัยชนะในการปราบปราม “การปฏิวัติครั้งที่ ๒” แล้ว เขาก็ดำเนินการรวบรวมกำลังและเดินก้าวต่อไป ใช้ปืนและเงินเป็นเครื่องหนุน หยวนสามารถหาคะแนนเสียงจากรัฐสภาให้เลือกเขาเป็นประธานาธิบดี (ปฏิญาณตนเข้ารับตำแหน่งในวันที่ ๑๐ ตุลาคม ๑๙๑๓) ภายในหนึ่งเดือนต่อมาคือวันที่ ๔ พฤศจิกายน ด้วยความร่วมมือของคณะรัฐมนตรีและนายทหารประจำส่วนภูมิภาค หยวนสั่งยุบก๊กมินตั๋ง โดยกล่าวหาว่าเป็นองค์การส่งเสริมให้ประชาชนกระด้างกระเดื่องต่อรัฐบาล สมาชิกรัฐสภาที่เป็นสมาชิกหรือมีความสัมพันธ์กับก๊กมินตั๋ง จำนวน ๔๓๘ คน ถูกสั่งปลดออกจากตำแหน่งโดยไม่มีการเลือกตั้งใหม่ สมาชิกรัฐสภาที่เหลือก็ยังคงทำงานให้หยวนต่อไป ก่อนหน้าที่สมาชิกพรรคก๊กมินตั๋งถูกปลดออกไปนั้น รัฐสภาได้ร่างรัฐธรรมนูญฉบับถาวรเพื่อต้องการจะจำกัดอำนาจของประธานาธิบดี และในวันที่ ๒๖ ตุลาคม วุฒิสภาได้ผ่านร่างรัฐธรรมนูญฉบับถาวรซึ่งไม่เป็นที่พอใจของหยวนอีกตามเดิม เขาจึงถือโอกาสเอาความไม่สมบูรณ์ของรัฐสภาที่เหลือเป็นข้ออ้างยุบสภาเสีย ในเดือนมกราคม ๑๙๑๔ หยวนมีคำสั่งให้เจ้าหน้าที่ส่วนจังหวัดแต่งตั้งผู้แทนของตน เพื่อปรึกษาหารือเกี่ยวกับปัญหาของรัฐ หยวนมีคำสั่งให้ยุบสภาจังหวัดทั้งหมดทั่วประเทศ เพื่อสนองคำเรียกร้องของนายทหารส่วนภูมิภาค ดังนั้น รากฐานของประชาธิปไตยที่ได้ปลูกฝังไว้โดยพวกเขาเอง เมื่อใกล้จะสิ้นยุคการปกครองของพระราชชนนีฉือซีก็ได้ถูกรื้อถอนเสียสิ้น
คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ ได้ร่างรัฐธรรมนูญเสร็จภายใน ๖ สัปดาห์ และประกาศใช้เมื่อวันที่ ๑ พฤษภาคม ๑๙๑๔ รัฐธรรมนูญนี้เป็นที่รู้จักกันทั่วไปว่ารัฐธรรมนูญหยวนซื่อไข่ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้ หยวนมิได้เป็นจักรพรรดิตามระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชก็แต่ในนามประธานาธิบดีเป็นหัวหน้าฝ่ายบริหารและให้มีเลขาธิการ (กว๋ออู้ชิน = Secretary of State) เป็นผู้ช่วยหนึ่งคน นอกจากนั้นให้จัดตั้งสภาการเมือง (เจิ้งซื่อถัง) ซึ่งมีเลขาธิการเป็นประธาน ทั้งเลขาธิการและสมาชิกสภาการเมืองได้รับแต่งตั้งโดยตรง และรับผิดชอบต่อประธานาธิบดีโดยตรง กำหนดให้ประธานาธิบดีอยู่ในตำแหน่งคราวละ ๑๐ ปี “และในปีที่จะมีการเลือกตั้งประธานาธิบดี” ถ้าหากคณะรัฐมนตรีเห็นว่าสมควรโดยมีเหตุผลทางการเมือง จะอนุมัติให้ประธานาธิบดีคงดำรงตำแหน่งต่อไปอีกสมัยหนึ่งโดยไม่ต้องมีการเลือกตั้งตามพิธีการก็ได้”
แผนการขั้นต่อไปของหยวนก็คือ ตั้งตัวเป็นจักรพรรดิโดยเปิดเผยสืบต่อจากราชวงศ์แมนจู ความจริงราชวงศ์แมนจูมอบอำนาจให้หยวน ซึ่งหยวนจะตั้งตัวเป็นกษัตริย์ตั้งแต่ต้นโดยไมแสดงตัวเป็น ผู้เลื่อมใสในระบอบสาธารณรัฐ เขาอาจจะได้รับความสนับสนุนมากกว่า แต่หยวนได้เปิดโอกาสให้ฝ่ายก่อการปฏิวัตินำพืชพันธุ์ระบอบประชาธิปไตยไปหว่านเสีย ๓ ปี ประกอบกับประชาชนได้เห็นรอยด่างพร้อยในตัวหยวนมากขึ้น การคิดก่อตั้งราชวงศ์ใหม่จึงสายเกินไป
ข่าวเกี่ยวกับการจัดตั้งราชวงศ์หยวนนั้น ได้แพร่สะพัดมาตั้งแต่ปี ๑๙๑๓ – ๑๙๑๔ แล้ว แต่ความเคลื่อนไหวอย่างเปิดเผยได้กระทำขึ้นในปี ๑๙๑๕ ในกลางปี ๑๙๑๕ พวกขุนนางในราชวงศ์ อดีตเครือญาติคนสนิท ที่ปรึกษา รวมตลอดทั้งที่ปรึกษาที่สำคัญชาวอเมริกันชื่อแฟรงค์ เจ กู๊ดโนว (Frank J. Goodnow) ซึ่งต่อมาดำรงตำแหน่งประธานของมหาวิทยาลับ จอน ฮอปคิ่นส์ ต่างก็ชักชวนส่งเสริมให้หยวนขึ้นเถลิงราชสมบัติเป็นพระมหาจักรพรรดิ นายกู๊ดโนวได้เสนอเอกสารเกี่ยวกับระบอบสาธารณรัฐและระบอบประชาธิปไตย โดยให้ความเห็นว่า ระบอบสาธารณรัฐไม่เหมาะสมกับสถานการณ์ของจีน ความเห็นของนายกู๊ดโนวมีอิทธิพลมากจนก่อให้เกิดสมาคมวางแผนเพื่อความสันติ (Peace Planning Society) ซึ่งเผยผู้นำก่อการที่สำคัญ ๖ คน เพื่อสนับสนุนให้หยวนรับตำแหน่งพระมหาจักรพรรดิ หยวนบอกปัดหลายครั้ง แต่ในที่สุดยินยอมเพื่อให้ขลังยิ่งขึ้น เขารอให้คณะรัฐมนตรีซึ่งมีสวีซื่อชังเป็นประธานนั้นทำพิธีถวายสาสน์อัญเชิญให้ครบสามจบ และนอกจากนั้นจะต้องได้รับความยินยอมเห็นชอบจาก “สภาผู้แทนราษฎร” เสียก่อน มหาอำนาจต่าง ๆ มีปฏิกิริยาโต้ตอบแตกต่างกัน เดิมที อังกฤษ ฝรั่งเศส รุสเซีย และญี่ปุ่น แนะให้หยวนงดการกระทำเช่นนั้น โดยให้เหตุผลว่า ยังมีสถานการณ์ระหว่างประเทศที่คั่งค้างอีกหลายประการ การกระทำเช่นนั้นมีส่วนโน้มเอียงที่จะก่อให้เกิดศัตรูขึ้นต่อต้าน แต่สำหรับ ๓ ประเทศแรกยินดีจะรับรองหยวนในฐานะพระมหาจักรพรรดิ ถ้าหากว่าหยวนจะประกาศสงครามกับเยอรมัน ทั้งนี้เพราะคู่สงครามของเยอรมันต้องการความช่วยเหลือจากจีนกำจัดกิจกรรมการค้าของเยอรมันในจีน แต่ต่อมาความต้องการเช่นนี้ก็หมดความสำคัญไป เพราะญี่ปุ่นรับทำหน้าที่แทนโดยความสมัครใจ ท่ามกลางความไม่พอใจของมหาอำนาจอื่น ๆ รัฐบาลญี่ปุ่นรายงานต่อหยวนว่า ถ้าหากหวนดำเนินการตามแผนการนั้นแล้วมีเค้าว่าจะเกิดการกบฏขึ้นทางใต้ แต่หยวนสามารถเรียกสภาผู้แทนจากจังหวัดต่าง ๆ และรวบรวมคะแนนเสียงได้ “เป็นเอกฉันท์” ๑,๘๓๔ เสียง สำหรับสนับสนุนระบอบปรมิตตาญาสิทธิราช (Constitutional Monarchy) ชื่อเสียงของเขาตามมตินี้ดีกว่าของนโปเลียนมากมาย (การยกฐานะของ นโปเลียนโดยวิธีการออกเสียงประชามติมี ๒,๕๖๗ เสียงคัดค้าน ๓,๕๗๒,๓๗๙ เสียงสนับสนุน) ก่อนที่จะเข้ารับสนอง “เจตนารมณ์ของประชาชน” หยวนยอมให้ “ประชาชน” ส่งสาส์นอัญเชิญซ้ำอีก ๓ ครั้ง แล้วกำหนดเอาวันที่ ๙ กุมภาพันธ์ ๑๙๑๖ เป็นวันขึ้นเถลิงราชสมบัติเป็นทางการ ถ้าหากการณ์จะได้เป็นไปตามแผนนี้สำเร็จและสถานการณ์ของโลกเข้าข้างรัฐบาลระบอบกษัตริย์ หยวนจะได้รับยกย่องว่าเป็นกษัตริย์องค์แรกของจีน ที่ได้รับการเลือกตั้งจาก “เจตนารมณ์ของประชาชน” แทนที่จะเป็น “เจตนารมณ์ของสวรรค์” ตามที่เป็นมาในราชวงศ์อดีต
ถ้าหากจะตั้งให้ซุนเป็นฝ่ายค้านระบบพระมหากษัตริย์ของหยวน และเรียกสภาผู้แทนให้ลงคะแนนตามวิธีการของหยวน ซุนก็อาจรวบรวม “เจตนารมณ์ของประชาชน” ได้เป็นเสียงเอกฉันท์เช่นเดียวกัน กำลังต่อต้านการเปลี่ยนระบอบการปกครองได้เป็นอย่างคึกคักไม่แพ้กิจกรรมของสมาคมวางแผนเพื่อความสันติ พวกนิยมระบอบสาธารณรัฐและพวกนิยมการปฏิรูปที่มีหัวรุนแรง เห็นว่าความหวังในการก่อตั้งประเทศจีนใหม่ได้ถูกคุกคามแบบแตกสลาย ในญี่ปุ่น ซุนซึ่งได้ลี้ภัยการเมืองมาเป็นครั้งที่ ๒ นั้น ได้ก่อตั้งพรรคปฏิวัติสาธารณจีนจุงหัว เก๊อมิ่งตั่ง ซึ่งมีสาขาลับอยู่ในผืนแผ่นดินใหญ่จีน หยวนต้องการสนับสนุนจากเหลียง แต่ไม่ทราบว่าเหลียงนั้นเองที่เป็นผู้เขียนบทความต่อต้านระบบกษัตริย์แจกจ่ายไปทั่วประเทศ แม้แต่นายพลทหารประจำส่วนภูมิภาค ผู้ซึ่งเคยยอมตนเป็นฐานที่ตั้งอำนาจของหยวนก็บังอาจขัดขวางการกระทำของหยวน เพราะเกรงกิจกรรมอันอิสระของตนจะถูกจำกัด ความพยายามของหยวนที่จะรวบรวมอำนาจอยู่ในกำมือเสียแต่ ผู้เดียวเท่านั้น ได้ก่อให้ตวนฉียุ่ย รัฐมนตรีกระทรวงทหารบก และแต่เดิมคาดกันว่าจะเป็นทายาทของหยวนนั้นได้ลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีกลับไปอยู่มณฑลสั่นซี ก่อนหน้านั้นการจัดตั้งสมาคมวางแผนเพื่อความสันติเล็กน้อย หยวนขาดความสนับสนุนจากเฝิงกว๋อจัง ผู้บัญชาการทหารแห่งมณฑลเกียงซูเช่นกัน พวกนายพลเหล่านี้สำนึกว่าตนต่างหากเป็นผู้กำอำนาจของประเทศที่แท้จริง เขาสมัครใจที่จะอยู่ภายใต้รัฐบาลสาธารณรัฐ ที่อ่อนแอมากกว่าจะถูกบังคับให้เป็นนายพลที่ว่าง่ายในราชอาณาจักรใหม่ และในที่สุดหยวนเสียคะแนนสนับสนุนโดยการที่เขายอมรับเอาข้อเรียกร้อง ๒๑ ประการของญี่ปุ่น
กำลังเท่านั้นที่สามารถสกัดความทะเยอทะยานของหยวนและพรรคพวกได้ ในเดือนธันวาคม ๑๙๑๕ นายพลไช่โอว แห่งมณพลหยุนหนัน (ยูนนาน) ได้รับการสนับสนุนโดยอดีตลูกพรรคก๊กมินตั๋งและ เหลียงฉี่เชา ไช่โอวประกาศตัวต่อต้านรัฐบาล โดยเรียกร้องให้หยวนยับยั้งแผนการเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบอบปรมิตตาญาสิทธิราช และให้กลับนำเอารัฐธรรมนูญชั่วคราวฉบับที่ตราขึ้นนานกิงมาเป็นกฎหมายสูงสุดของรัฐ และเรียกประชุมรัฐสภาชุดที่เลือกตั้งในปี ๑๙๑๓ นอกจากนั้น เขายังสั่งจับและลงโทษผู้สนับสนุนแผนการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองในเขตมณฑลหยุนหนัน (ยูนนาน) ไปหมด หยวนส่งกองทัพเข้าปราบปรามและชั่วขณะหนึ่งกำลังฝ่ายหยุนหนันทำท่าทีจะเป็นฝ่ายมีชัย ไช่โอวถึงแก่ความตายด้วยโรคในมณฑลเสฉวน หวงซิงผู้ซึ่งกำลังจะรวบรวมกองทัพในมณฑลกวางตุ้ง ก็ล้มป่วยถึงแก่ความตายเช่นกัน แต่การประกาศเข้าข้างฝ่ายกบฏของเฝิงกว่อจังทำให้ฝ่ายกบฏอยู่ในฐานะเข้มแข็งในกลางเดือนมีนาคม ๑๙๑๖ ได้เกิดกบฏขึ้นทั่วทุกหัวระแหง
เผชิญกับปัญหาศึกกลางเมือง หยวนตัดสินใจเลื่อนประกอบพิธีราชาภิเษกและสัญญาว่าจะเรียกประชุมสภานิติบัญญัติ ซึ่งกำหนดไว้ตามบทบัญญัติของ “รัฐธรรมนูญหยวนซื่อไข่” โดยด่วน และเมื่อฝ่ายกบฏเรียกร้องให้หยวนสละอำนาจออกจากวงการเมือง เขายอมประกาศยกเลิกแผนการเปลี่ยนแปลงระบอบ การปกครองในวันที่ ๒๒ มีนาคม เพื่อที่จะปราบศัตรูให้อยู่ในความสงบ เขาประกาศว่าเขามีเจตนาที่จะมอบอำนาจทางการเมืองให้แก่คณะรัฐมนตรีที่มีความรับผิดชอบ ในเดือนเมษายนเขาขอร้องตวนฉียุ่ยจัดตั้งคณะรัฐมนตรีแทน แต่ตวนเห็นว่าฝ่ายใต้ยังคงยืนยันให้หยวนออกจากตำแหน่งประธานาธิบดี ตวนและ กลุ่มทหารพากันทอดทิ้งเขา เฝิงกว๋อจังพยายามจัดตั้งแนวเดินสายกลางโดยเรียกสมัครพรรคพวกประชุมปรึกษาหารือกัน ณ เมืองนานกิง ภายใต้การควบคุมของตน เพื่อแสวงหาคะแนนจากจังหวัดต่าง ๆ ตั้งตัวเป็นประธานาธิบดีบ้าง
ในเดือนพฤษภาคม จังหวัดทางภาคกลางและภาคใต้ ๘ จังหวัดประกาศตั้งตัวเป็นอิสระ วันที่ ๑๒ พฤษภาคม ผู้แทนของจังหวัดตาง ๆ เหล่านี้ได้ร่วมใจกันจัดตั้งรัฐบาลขึ้นอีกรัฐบาลหนึ่งที่เมืองกวางตุ้ง โดยเลือกหลี่หูงจังเป็นประธานาธิบดี แต่หลี่ปฏิเสธ อีกไม่นานต่อมาหยวนยินยอมสละตำแหน่งประธานาธิบดีโดยแนะนำหลี่เป็นผู้สืบตำแหน่งของเขา ในขณะที่การเจรจากำลังจะถึงซึ่งความสำเร็จอยู่นั้น การขัดแย้งก็ได้ยุติไปด้วยการตายของหยวนด้วยเหตุโลหิตเป็นพิษในเดือนมิถุนายน ๑๙๑๖
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น