ภายหลังซุนถึงแก่กรรมไม่นาน คือในเดือนกรกฎาคม ก๊กมินตั๋งที่เมืองกวางตุ้งได้จัดตั้ง “รัฐบาลประชาชน” ซึ่งประกอบด้วยคณะกรรมการที่ประกอบสมาชิก ๑๖ คน สมาชิกเหล่านี้ได้รับเลือกตั้งจากคณะกรรมการของก๊กมินตั๋งวางจิงวุ่ยผู้มีหัวเอียงซ้ายและสมาชิกดงเดิมของคณะปฏิวัติ ได้รับเลือกเป็นประธานของคณะกรรมการรัฐบาลประชาชน
การแตกแยกได้ปรากฏออกมาอย่างเปิดเผย เมื่อสมาชิกคณะกรรมการกลางของพรรคสังกัด “ปีกขวา” ได้นัดพบกันที่เนินตะวันตกนั้นดีเขียนโปรแกรมพรรคขึ้นใหม่โดยพลการ เรียกร้องให้พรรคปลดที่ปรึกษาชาวรุสเซีย และขับไล่คอมมิวนิสต์ออกไปจากพรรค การที่เขาเลือกเอาสถานที่นี้ ก็เพราะที่นั่นเป็นสถานที่ดองศพของซุนยัดเซ็น ปัญหาการแตกแยกในครั้งนี้เป็นเหตุสำคัญที่ทำให้รัฐบาลเมืองกวางตุ้งเรียกประชุมใหญ่ของพรรคครั้งที่ ๒
ที่ประชุมใหญ่ของพรรคที่จัดให้มีขึ้นครั้งที่ ๒ ตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ถึงวันที่ ๒๐ มกราคม ๑๙๒๖ นั้น ได้ออกประกาศคำขวัญมีความว่า พรรคจะ “กระตุ้นเตือนมวลชนและจะร่วมสัมพันธมิตรกับทุกประเทศในโลก ที่ให้การปฏิบัติต่อจีนในฐานะเท่าเทียมกันในการต่อสู้ร่วมกัน” เพื่อที่จะให้บรรลุจุดหมายของการปฏิวัติที่ลิขิตไว้ในคำสั่งเสียของอดีตประธานาธิบดีที่ประชุมได้มีมติประณามขบวนการ “เนินเขาตะวันตก” และหัวหน้าขบวนการนี้ถูกขับไล่ออกจากพรรค ชัยชนะจึงตกมาอยู่แก่ปีกซ้าย
คอมมิวนิสต์ได้ขยายอำนาจของตนอย่างรวดเร็ว ในพรรคก๊กมินตั๋ง ความสำคัญของพวกคอมมิวนิสต์อยู่ที่ความเชื่อมั่นในอุดมการณ์ และวิธีการจัดระเบียบองค์การอันแยบคายมากกว่าจำนวนของสมาชิก สำหรับจำนวนของสมาชิกนั้น พรรคคอมมิวนิสต์ มีสมาชิก ๓๐๐ คน ในปี ๑๙๒๒ ในขณะที่ก๊กมินตั๋งมีถึง ๑๕๐,๐๐๐ คน ในปี ๑๙๒๕ พรรคคอมมิวนิสต์เพิ่มสมาชิกขึ้นเป็น ๑,๕๐๐ คน แต่ในคณะกรรมการกลางของก๊กมินตั๋ง ซึ่งเพิ่มจำนวนจาก ๒๔ เป็น ๓๖ คนนั้นเป็นคอมมิวนิสต์เสีย ๗ คน และ ๓ คน ในจำนวนนั้นได้รับเลือกตั้งให้ดำรงตำแหน่งสมาชิกคณะกรรมการสามัญ ยิ่งกว่านั้นคอมมิวนิสต์ควบคุมแผนกที่สำคัญ ๒ แผนก คือ แผนกกสิกร ซึ่งมีหลินจู่หัน ดำรงตำแหน่งหัวหน้าแผนก และแผนกจักระบบองค์กร ซึ่งมีผู้เชี่ยวชาญ ๒๙ คนนั้น เป็นคอมมิวนิสต์เสียถึง ๒๖ คน ภายใต้การนำของถันฝิงซัน
ในขณะที่การขัดแย้งระหว่าง “ปีกซ้าย” กับ “ปีกขวา” ดำเนินอยู่นั้น เจียงไคเช็คซุ่มตัวสร้างบารมี ณ โรงเรียนนายทหารหวงผู่ โดยไม่แสดงท่าทีจะเข้าข้างฝ่ายใด ในไม่ช้า เขากลายเป็นนายทหารที่มีความสำคัญที่สุดในด้านการทหารของคณะปฏิวัติ ภายหลังซุนถึงแก่อสัญกรรมไม่นาน เขาเริ่มเห็นความขัดแย้งกับที่ปรึกษาชาวรุสเซียเกี่ยวกับการยาตราทัพเข้าปราบปรามฝ่ายเหนือ เขาใจร้อนอยากคุมทหารจากเมืองกวางตุ้งไปปราบปรามขุนศึกอื่น เพื่อรวบรวมประเทศจีนให้เป็นอันหนึ่งอันเดียว
บทบาทขั้นแรกของเจียงไคเช็คก็คือ การรวบรวมอำนาจมาอยู่ในกำมือของเขาในวันที่ ๒๐ มีนาคม ๑๙๒๖ เข้าได้ยึดอำนาจจากรัฐบาลวางจิงวุยแล้วประกาศภาวะฉุกเฉินในเมืองกวางตุ้ง โดยยกเอาเรื่องคอมมิวนิสต์วางแผนยึดอำนาจขึ้นเป็นข้ออ้าง เจียงได้ใช้อำนาจการทหารสั่งจับสมาชิกก๊กมินตั๋งสังกัด “ปีกซ้าย” และคอมมิวนิสต์เป็นอันมาก ในขณะที่โบโรดินกำลังเข้าพบปะเจรจากับเฝิ่งยู่เสียง เกี่ยวกับปัญหาการโจมตีปักกิ่งร่วมกันนั้น เจียงได้สั่งปลดและสั่งที่ปรึกษารุสเซียกลับบ้านหลายคน อย่างไรก็ตาม เจียงยังไม่กลาฝ่าฝืนเจตจำนงของซุนซึ่งหนักเกินไป ในวันที่ ๓ เมษายน เขาได้ออกแถลงคำประกาศยืนยันสนับสนุนสัมพันธมิตรระหว่างรุสเซียกับก๊กมินตั๋ง ในวันต่อมาเขาส่งโทรเลขเวียนกล่าวหาการประชุมครั้งที่ ๒ ที่จัดขึ้นกรุงเซี่ยงไฮโดยกลุ่ม “เนินเขาตะวันตก” เขากล่าวว่าเรื่องการร่วมมือระหว่างก๊กมินตั๋ง “ปีกขวา” กับ “นักจักรวรรดินิยม” และเมื่อปีกขวา วางแผนนัดเดินขบวนที่เมืองกวางตุ้ง เขาปลดสมาชิกที่สงสัยว่าสังกัดอยู่ “ปีกขวา” ออกจากพรรค ในวันที่ ๑๖ เมษายน ณ โรงเรียนนายทหารหวงผู่ เจียงให้ความเห็นว่าการปฏิวัติของจีนแต่เดิมมามีความสัมพันธ์กับการปฏิวัติของโลก ดังนั้นก๊กมินตั๋งจะต้องรับความช่วยเหลือจากองค์การคอมมิวนิสต์สากล ปลายเดือนเมษายน โบโรดิน กลับจากเจรจาทางเหนือ ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเจียงดีขึ้น ถามิใช่เพราะเจียงต้องการสร้างศูนย์ใหม่ซึ่งอยู่กึ่งกลางระหว่างปีกซ้ายและปีกขวา
การแทรกซึมของคอมมิวนิสต์ในพรรคก๊กมินตั๋งถูกเจียงวางเงื่อนไขจำกัดไว้อีกหลายประการในเดือนพฤษภาคม แม้คอมมิวนิสต์ดิ้นรนต่อสู้ แต่ก็อ่อนด้วยอำนาจทหารและขาดการสนับสนุนจากคอมมิวนิสต์รุสเซีย โบโรดินชมเชยการกระทำของเจียงที่มีต่อพวกที่ ซ้ายจัดเกินไป คอมมิวนิสต์จีนเสนอไปมอสโก ให้แก้ไขความสัมพันธ์ระหว่างพรรคคอมมิวนิสต์และก๊กมินตั๋งเป็นความสัมพันธ์ในลักษณะพรรคผสม แต่สตาลินผู้ซึ่งกำลังเรืองอำนาจขึ้นมาเป็นผู้นำในกรุงเครมลิน กลับสั่งให้คอมมิวนิสต์จีนใช้ความพยายามต่อไป “ในการชักจูงสมาชิกของพรรคก๊กมินตั๋งทั้งหมดให้หันไปทางซ้ายและประกันนโยบายเอียงซ้ายไว้คงที่” นโยบายของสตาลินนั้นถือเอาการปฏิวัติ ๒ ขั้นมาใช้ การปฏิวัติขั้นแรก เป็นที่ทราบกันว่าสตาลินและโบโรดินยังไม่สิ้นหวังที่จะควบคุมก๊กมินตั๋ง แม้เจียงได้แสดงปฏิกิริยาต่อต้านคอมมิวนิสต์ก็ตาม หัวหน้าพรรคคอมมิวนิสต์จีนเฉินตู่ซิ่วกลับมีความเห็นว่าก๊กมินตั๋งถูกยึดอำนาจโดยขุนศึกคนใหม่ ความเห็นของเขาตรงกับทฤษฎีของเลอัน ทรอตสกี้ ซึ่งแตกต่างกันกับของสตาลินเกี่ยวกับปัญหาจีน
ภายหลังการตายของเลนิน ในปี ๑๙๒๔ ปัญหาการปฏิวัติของจีนได้กลายเป็นเนื้อหาของความขัดแย้งกันระหว่างชนชั้นปกครองรุ่นใหม่และนักก่อการปฏิวัติดังเดิมของรุสเซีย การขัดแย้งกันได้คงอยู่จนกระทั่งทรอตสกี้ถูกขับจากพรรคปี ๑๙๒๗ ทรอตสกี้กับพวกซีโนเวียต
และคาเมเนฟ เตือนว่าพรรคคอมมิวนิสต์จีนอาจจะถูกทำลายโดยปฏิกิริยาอภิสิทธิ์ชนชั้นกลาง ผู้ซึ่งจะทำความตกลงประนีประนอมกันกับจักรวรรดินิยม และหันหลังให้แก่มวลชน เขาเชื่อว่าหลักการของเขานั้นจะนำมาปฏิบัติกับประเทศจีนได้ ถ้าหากชนชั้นกรรมกรในย่านชุมชนทอดทิ้งอภิสิทธิ์ชนชั้นกลาง และสร้างลำข้อของตนเองด้วยการจัดตั้งโซเวียตที่เซี่ยงไฮ้และกวางตุ้งและโดยการขยายขบวนการกสิกรต่อต้านราชาที่ดิน เขาจะตั้งต้นสร้างเศรษฐกิจ และสถาบันในทางการเมืองของประเทศได้โดยตั้งอยู่บนรากฐานของการถือกรรมสิทธิ์รวมเป็นวิธีการของการผลิต
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น