นับตั้งแต่ซุนเริ่มก่อการปฏิวัติเป็นต้นมา กบฏได้เกิดขึ้นชุกชุมในตอนใต้ ของประเทศจีน เมื่อจักรพรรดิกวางซวี่และพระราชชนนีฉือซีสวรรคตแล้ว ผู้สืบราชสมบัติต่อ ณ เมืองปักกิ่งย่อมสะดุ้งสะเทือนต่อสถานการณ์อันล่อแหลมเช่นนั้น รัฐบาลส่วนภูมิภาคได้รับคำสั่งให้รักษาความสงบอย่างกวดขัน แต่ชะตาของราชวงศ์แมนจูจะถึงซึ่งความหายนะ การป้องกันไม่ได้ผล เฉพาะปี ๑๙๐๘ – ๑๐ ตุลาคม ๑๙๑๑ ปรากฏว่ามีกบฏที่สำคัญเกิดขึ้น ๔ ครั้ง คือ กบฏอันจิงในมณฑลอันฮุยในเดือนพฤศจิกายน ๑๙๐๘ การจลาจลในกองทหาร ณ เมืองกวางตุ้งในเดือนกุมภาพันธ์ ๑๙๑๐ การพยายามปลงพระชนม์ผู้สำเร็จราชการไจ้เฟิงไดย วางจิงวุ้ย ในเดือนมีนาคม ๑๙๑๐ และในที่สุดการกบฏอันเศร้าสลด ณ เมืองกวางตุ้งในวันที่ ๒๗ เมษายน ๑๙๑๑ นำโดยหวงซิง ในคราวนี้ฝ่ายกบฏได้รับความเสียหายอย่างหนักเสียสมาชิกชั้นหัวกะทิถึง ๗๒ คน แม้ว่าการล้มเหลวครั้งนี้จะใหญ่หลวง แต่วิญญาณของ ๗๒ วีรชนได้เข้าสิงจิตใจประชาชนชาวจีน ให้ตื่นขึ้นมาเลือกเดินทางตามซุนยัดเซ็น ดีกว่าที่จะยังหลงงมงายต่อความหวังที่จะได้รัฐบาลโดยมี พระมหาจักรพรรดิอยู่ใต้รัฐธรรมนูญ นับว่าเป็นการถางทางให้การปฏิวัติครั้งต่อไป
การฟื้นตัวอันรวดเร็วจากการปราชัยในการกบฏ วันที่ ๒๗ เมษายน ของคณะก่อการปฏิวัตินั้น เป็นผลสืบเนื่องมาจากปัญหาการโอนกิจกรรมการเดินรถไฟเป็นของชาติ ในเขตมณฑลเสฉวน (ซื่อชวน) และ หูเป่ย นักธุรกิจจีนที่มั่งคั่งในแถบนี้ได้ลงทุนเป็นจำนวนมากในกิจการเดินรถไฟสายเสฉวน – ฮั่นโข่ว กวางโจว ฮั่นโข่ว ในขณะนั้นรัฐบาลต้องการเงินกู้จากภาคีธนาคาร (consortium) ที่สหรัฐ อังกฤษ ฝรั่งเศส และเยอมันถือหุ้น เนื่องจากภาคีธนาคารนี้มีนโยบายที่จะกีดกันการรุกรานทางเศรษฐกิจของรุสเซียและญี่ปุ่น ปักกิ่งจึงต่อรองด้วยการจะโอนกิจกรรมรถไฟดังกล่าวไปเป็นของชาติ เพื่อเป็นการป้องกันการขยายกิจการรถไฟโดยบริษัทเอกชนให้แก่บริษัทญี่ปุ่น คำสั่งโอนกิจกรรมการรถไฟดังกล่าวไปเป็นของชาติได้ออกประกาศในวันที่ ๑๓ พฤษภาคม ๑๙๑๑ ประชาชนเป็นจำนวนมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่อาศัยอยู่ในมณฑลกวางตุ้ง เสฉวน หูเป่ย และหูหนัน ได้ก่อตั้งสมาคมต่อต้านคำสั่งของรัฐบาล การปะทรวงได้แสดงออกทั้งในรูปสงบ เช่น การส่งคำร้องเรียนไปยังรัฐบาลปักกิ่ง และในรูปเลือดร้อน เช่น การเดินขบวน แต่ไม่ได้ผลเพราะรัฐบาลใช้กำลัง เข้าปราบปราม
การประท้วงคำสั่งการโอนกิจกรรมรถไฟเป็นของชาติ ได้รับการต่อต้านอย่างแข็งขันเพราะ ผู้มีหุ้นอยู่ในการเดินรถล้วนแต่เป็นผู้มั่งคั่งและทรงอิทธิพล นอกจากนั้นย่อมเป็นที่เชื่อได้ว่าเป็นการยุยงส่งเสริมของคณะก่อการปฏิวัติ เพราะพวกนี้สงสัยเจตนาของเจ้าหนี้ คือภาคีธนาคารไม่น้อยกว่าที่เจ้าของภาคีธนาคารระแวงการแทรกแซงเศรษฐกิจของจีนโดยญี่ปุ่นและรุสเซีย การร่วมงานกันครั้งนี้ระหว่างคณะก่อการปฏิวัติกับบรรดาพ่อค้า นับว่าเป็นความสำเร็จอีกก้าวหนึ่งของคณะก่อการปฏิวัติ ในขณะเดียวกันคณะนิยมการปฏิรูป ที่พยายามเอาใจนักธุรกิจด้วยการใช้วิธีอ่อนโยน โดยการเสนอคำร้องเรียนนั้นก็ย่อมได้รับความผิดหวัง อาศัยเหตุการณ์เฉพาะหน้าเหล่านี้ ฤกษ์ยามก่อการปฏิวัติของคณะก่อการปฏิวัติจึงได้มาตรงกับวันที่สิบ เดือนสิบ
คณะปฏิวัติได้เลือกเอาเมืองอู่ชัง อันเป็นที่ตั้งอำเภอเมืองของจังหวัดหูเป่ยเป็นสถานที่ก่อการปฏิวัติ ประชาชนในเขตนี้มีความแค้นเคืองรัฐบาลในวิกฤติการณ์การโอนกิจกรรมรถไฟมาก การปฏิวัติได้รับความสำเร็จอย่างบังเอิญ โดยที่ข้าหลวงตรวจการและผู้บัญชาการทหารขาดความเข้มแข็ง หนีออกจากเมืองก่อนที่จะประมาณกำลังของข้าศึก หลังจากยึดได้เมืองอู่ชังแล้ว เมืองฮั่นหยางและฮั่นโข่วก็ตกมาอยู่ภายใต้ การยึดครองของคณะก่อการปฏิวัติอย่างรวดเร็ว คณะก่อการปฏิวัติมอบอำนาจการบังคับบัญชาการทหารให้แก่นายพลจัตวาหลี่หยวนหูง ผู้ซึ่งถูกสงสัยว่าคงรู้เห็นเป็นใจด้วยกันกับคณะก่อการปฏิวัติ การปฏิวัติได้แพร่สะพัดไปอย่างรวดเร็ว การแทรกแซงของคณะก่อการปฏิวัติเข้าไปในกลุ่มทหารช่วยให้การดำเนินงานเป็นผลสำเร็จ เร็วยิ่งขึ้น จนกระทั่งปลายปี ๑๙๑๑ ปรากฏว่าดินแดนตอนใต้ของลุ่มแม่น้ำแยงซีเกือบทุกจังหวัด รวมตลอดถึงดินแดนตอนเหนือแม่น้ำแยงซีบางจังหวัด เช่น สั่นซี และ ซันซี ได้ร่วมกับคณะก่อการปฏิวัติทำการกบฏ เหตุผลที่สำคัญของความสำเร็จอย่างรวดเร็วของคณะก่อการปฏิวัตินี้ ขึ้นอยู่กับความเอาใจออกห่างจากราชวงศ์แมนจูของข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ในส่วนภูมิภาคเป็นสำคัญ
สำนักราชวงศ์แมนจูมีความตะลึงต่อสถานการณ์ตั้งแต่เริ่มแรกของการกบฏ ครั้นมีผู้บัญชาการทหารหลายคนของกองทัพที่จัดตั้งขึ้นตามแผนใหม่ส่งโทรเลขมาจากเมืองหลวนโจว ซึ่งเป็นเมืองห่างจากกรุงปักกิ่งประมาณ ๑๕๐ กิโลเมตร เรียกร้องให้มีการปฏิรูปรัฐธรรมนูญอย่างรวดเร็ว สำนักราชวงศ์ต้องรีบปฏิบัติตามทันที เนื่องจากในขณะนี้ขุนนางชั้นผู้ใหญ่ฝ่ายแมนจูขาดความเชื่อมั่นในความสามารถที่จะรักษาสถานการณ์ได้ด้วยตัวเองแล้ว ทางออกที่พวกเขาพยายามหาก็คือจะทำอย่างไรที่จะต่ออายุของราชวงศ์ได้เท่านั้น มองเห็นแต่หยวนซื่อไข่อดีตผู้ดำรงตำแหน่งข้าหลวงตรวจการในเขตนครหลวงปักกิ่งและเป็นผู้สถาปนากองทัพแผนใหม่ ซึ่งขณะนั้นถูกปลดออกไปจากราชการแล้วนั้น คงจะเป็นผู้รักษาสถานการณ์ไว้ได้ หยวนซึ่งหาโอกาสเช่นนั้น มานานแล้ว แสดงท่วงทีบ่ายเบี่ยงและทำการต่อรองตามพิธีก่อนที่จะเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โดยได้รับการเลือกจากสภานิติบัญญัติตามวิถีทางรัฐธรรมนูญที่เพิ่งประกาศใช้ ซึ่งมี ๑๙ มาตราด้วยกัน หยวนจัดตั้งรัฐบาลที่ประกอบด้วยรัฐมนตรีเป็นคนจีนที่มีความจงรักภักดีต่อคนทั้งหมด ในวันที่ ๑๑ พฤศจิกายน นอกจากนั้นเขายังมีอิทธิพลพอที่จะควบคุมกองทัพแผนใหม่ได้อย่างเด็ดขาด สิ่งที่ราชวงศ์แมนจูยังเป็นห่วงอยู่อย่างเดียว คือการต่ออายุของราชวงศ์สืบไป
นับว่าเป็นเคราะห์ร้ายของราชวงศ์แมนจูที่เอาชะตามกรรมมาฝากไว้กับหยวน ผู้ซึ่งมีความจงรักภักดีต่อราชวงศ์เป็นรองของความทะเยอทะยานส่วนตัว จากนั้นไปจึงเป็นการใช้อำนาจส่วนตัวของหยวนในการตัดสินปัญหาต่าง ๆ กับคณะก่อการปฏิวัติ
ผู้ก่อการปฏิวัติได้ปรึกษาหารือกันเพื่อจัดตั้งรัฐบาลชั่วคราว ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนผู้นำ ทางทหารที่ก่อการกบฏและหน่วยอิสระอื่นที่มีความเลื่อมใสในอุดมการณ์ก่อการปฏิวัติ ได้ส่งผู้แทนไปร่วมประชุมกันที่เซี่ยงไฮ้ ต่อมาในวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ย้ายไปที่ฮั่นโข่ว การจัดตั้งรัฐบาลโดยหยวนซื่อไข่มีผลกระทบกระเทือนถึงความสามัคคีของกลุ่มก่อการปฏิวัติเป็นอันมาก เสียงส่วนมากของที่ประชุมหันกลับไปมองหยวนในแง่ดี และได้ผ่านมติว่าตำแหน่งประธานาธิบดีจะยกให้แก่หยวน ถ้าหากเขาตัดความจงรักภักดีออกจากราชวงศ์แมนจูและสนับสนุนรัฐบาลตามระบบสาธารณรัฐ นอกจากนั้นที่ประชุมยังมีความเห็นแตกแยกกัน ในการแต่งตั้งผู้ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุด แต่ในที่สุดได้ตัดสินให้หลีหยวนดำรงตำแหน่งและให้หวงซิงเป็นรองผู้บัญชาการทหารสูงสุด ในวันที่ ๒ ธันวาคม ที่ประชุมได้ตกลงประกาศใช้กฎหมายรัฐธรรมนูญซึ่งมี ๒๑ มาตราเป็นกฎหมายสูงสุดในการปกครองประเทศ ในระหว่างนี้ซุนกำลังเดินทางอยู่ในต่างประเทศ (วันปฏิวัตินั้นเขาอยู่ในสหรัฐฯ) เขาได้เดินทางกลับมาถึงเซี่ยงไฮ้ในวันที่ ๒๕ ธันวาคม ในวันที่ ๒๙ เดือนเดียวกัน เขาได้รับเลือกตั้งให้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีชั่วคราว โดยผู้แทนของ ๑๖ จังหวัดในจำนวน ๑๗ จังหวัด ซุนได้ปฏิญาณตนดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของสาธารณรัฐจีนในวันที่ ๑ มกราคม ๑๙๑๒ ณ เมืองนานกิง เขาได้จัดตั้งรัฐบาลตามระบอบประธานาธิบดีของสหรัฐฯ โดยมีหลี่หูงจังเป็นรองประธานาธิบดี รัฐบาลชุดนี้ถือว่าเป็นการเริ่มต้นของการปกครองระบบทหารซึ่งมีระยะ ๓ ปี ตามแผนการเดิมของซุนที่ได้วางไว้แล้วตั้งแต่ปี ๑๙๐๕
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น