ขบวนการปฏิวัติได้ก่อรูปเป็นสมาคมเริ่มตั้งแต่ปี ๑๘๙๔ ก่อนหน้านั้นเป็นการยากที่จะกล่าวได้อย่างแน่ใจว่า ซุนยัดเซ็นมีความคิดเห็นในทางดีต่อราชวงศ์แมนจู โดยการส่งสาส์นถึง หลี่หูงจัง ผู้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการส่วนพระองค์ในขณะนั้น เสนอความคิดเห็นของเขาในการสร้างกำลังและความมั่งคั่งของชาติ ในสาส์นกล่าวด้วยว่า “คนอย่างข้าพเจ้าก็อาจจะได้รับการฝึกฝนและรับเข้าไว้เป็นลูกจ้างของท่านได้” ถ้าหากหลี่หูงจังได้รับเขาไว้ทำงานในตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่ง ซุนอาจจะถูกย้อนจิตใจให้เป็นพวกนิยมแมนจูไปก็ได้ แต่กล่าวกันว่า ซุนสังเกตเห็นว่าหลี่เป็นคนชราภาพและขาดความคิดริเริ่ม ตนไม่มีความเลื่อมใสด้วยใจจริงเท่าไรนัก ประจวบกับจีนได้ปราชัยญี่ปุ่นในสงครามจีน – ญี่ปุ่น (๑๘๙๔ – ๑๘๙๕) เขาจึงผละจากจีนไปก่อตั้งสมาคมบูรณะจีน (ซิงจูงหุ้ย) ขึ้นที่ฮอนโนลูลู ในปี ๑๘๙๔ คำขวัญของสมาคมนั้นกล่าวว่า การคอรัปชั่นและความอ่อนแอของรัฐบาลแห่งราชวงศ์ชิง จุดประสงค์ของการจัดตั้งสมาคมนั้นกล่าวว่า เป็นการฟื้นฟูประเทศจีนจากรัฐบาลเสื่อมโทรมและถูกรุกรานจากต่างประเทศ ในขณะนี้เขาได้มีการติดต่อกับสมาคมลับต่าง ๆ ในจีน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสมาคมสามสหาย ซึ่งถือกันว่าเป็นสมาคมที่มีอิทธิพลที่สุดในตอนใต้ของประเทศจีนและแพร่หลายที่สุดในบรรดาชาวจีนโพ้นทะเล และเขาได้ตั้งเข็มไปในทางก่อการปฏิวัติแล้ว แม้ว่าสมาคมบูรณะจีนจะมีกำลังน้อย แต่พวกเลือดร้อนที่จงรักภักดีต่อสมาคมนี้ ก็แสดงอิทธิฤทธิ์ของพวกเขาด้วยการก่อกบฏ ณ เมืองกวางตุ้ง ในปี ๑๘๙๖
ปรมิตตาญาสิทธิราชกับสาธารณรัฐในแดนโพ้นทะเล ภายหลังการหนีเอาชีวิตรอดของ เหลียงฉี่เชาและคังอิ่วหวุย อันเป็นผลของการยึดอำนาจในกรุงปักกิ่งปี ๑๘๙๘ การแข่งขันระหว่างผู้สนับสนุนการปฏิรูป และผู้นิยมการปฏิวัติได้ดำเนินไปอย่างเข้มข้นในดินแดนต่างประเทศ ภายหลังการล้มเหลวของการกบฏปี ๑๘๙๕ ซุนเลือกเอาโยโกฮามาเป็นศูนย์การดำเนินงาน เขาพยายามจะผูกมิตรกับคังและเหลียงภายหลังที่นักปฏิรูปทั้งสองได้หนีไปอยู่ในโยโกฮามาในเดือนกันยายน ปี ๑๘๙๘ แต่คนทั้งสองต้อนรับนักก่อการปฏิวัติด้วยการจัดตั้ง เป่าหวงหุ้ย (สมาคมปกป้องจักรพรรดิ) ขึ้น สมาชิกส่วนใหญ่ของซิงจูงหุ้ยที่เป็นพ่อค้าหันไปสวามิภักดิ์ต่อเป่าหวงหุ้ย โรงเรียนสำหรับลูกหลานของชาวจีนที่เมืองโยโกฮามาที่จัดตั้งขึ้นด้วยความร่วมมือของซุนนั้นปิดประกาศห้ามซุนเหยียบย่างเข้าไปในโรงเรียน ในขณะเดียวกันคังได้ส่งเหลียงไปจัดตั้งสาขาของ เป่าหวงหุ้ยที่ฮอนโนลูลูเป็นการแข่งขันกับซิงจูงหุ้ยได้ดีเช่นเดียวกับในญี่ปุ่น
อย่างไรก็ตาม เป็นการยากที่จะชี้ตัวชาวจีนโพ้นทะเลว่าเขามีความจงรักภักดีต่อสมาคมใด กำลังของนักก่อการปฏิวัติได้ถูกตัดลงอย่างมาก โดยการแข่งขันของพวกต้องการปฏิรูป แต่เหตุการณ์ภายในประเทศก็ชักจูงให้ชาวจีนหันมาจงรักภักดีต่อนักก่อการปฏิวัติเพิ่มขึ้นตามลำดับ กระนั้นก็ดีซิงจูงหุ้ย ยังไม่สามารถจัดระบบประสานงานให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้ จนกระทั้งปี ๑๙๐๕ ซึ่งเป็นปีที่ซุนได้จัดตั้ง ถุงเหมิงหุ้ย (สมาคมสันนิบาต) ขึ้นที่โตเกียว
ซุนยัดเซ็นกับชาวจีนโพ้นทะเล เป็นเวลา ๑๐ ปีนับเนื่องจากการจัดตั้งซิงจูงหุ้ย จนถึงวันจัดตั้งถุงเหมิงหุ้ยในปี ๑๙๐๕ นั้น อุดมการณ์การปฏิวัติของซุนแพร่หลายไปในหมู่ปัญญาชน มีขอบเขตจำกัดมาก ต่อจากนั้นไปอุดมการณ์ปฏิวัติแพร่หลายไปอย่างรวดเร็วในหมู่ปัญญาชนทั้งภายในและภายนอกประเทศ ซุนได้เดินทางหาเสียงสนับสนุนจากชาวจีนโพ้นทะเลในเอเชีย ยุโรป และอเมริกา นักเรียนจีนในต่างประเทศ ซึ่งส่วนมากเป็นนักเรียนยอดเยี่ยมที่ได้รับการคัดเลือกส่งออกไปศึกษาต่อนั้นให้การต้อนรับซุนอย่างดีที่สุด นักเรียนจีนในยุโรปร่วมกันบริจาคเงินให้แก่ซุนเป็นค่าใช้จ่ายส่วนหนึ่งในการเดินทางเพื่องานกู้ชาติ ที่บรัสเซลส์ ซุนได้พบปะกับนักเรียนจีนกลุ่มหนึ่ง เพื่อปรึกษาวิธีการก่อการปฏิวัติที่นั่น และได้ทำพิธีสาบานกันว่าจะร่วมกัน “ขับไล่แมนจูผู้ป่าเถื่อน เอาประเทศจีนกลับคืนให้ชาวจีน จัดตั้งการปกครองตามระบอบสาธารณรัฐ และจัดสรรที่ดินให้ประชาชนได้รับส่วนแบ่งเท่ากัน” หลังจากนั้นซุนได้เดินทางไปเยอรมัน อังกฤษ และฝรั่งเศส เขาสามารถเรียกเสียงสนับสนุนจากนักเรียนจีนในแต่ละประเทศดังกล่าวเป็นจำนวนมาก สาขาของสมาคมซึ่งให้ชื่อว่า ถุงเหมิงหุ้ย จึงได้จัดตั้งขึ้นในประเทศดังกล่าวในยุโรป ปี ๑๙๐๕ ภายหลังกลับมาโตเกียวในเดือนสิงหาคมปีเดียวกัน ซุนได้มาพบกับหวงซิงผู้มีอุดมการณ์ตรงกัน หวงซิงได้ตั้งสมาคมของเขาชื่อหัวซิงหุ้ย (สมาคมจีนรุ่งเรือง) และได้ดำเนินการโฆษณาโดยผ่านนิตยสารของเขาชื่อถุงเหมิงหุ้ย ขึ้นในวันที่ ๙ กันยายน ๑๙๐๕ โดยให้มีสำนักงานใหญ่ที่โกกุเรียวไค (สมาคมมังกรดำของญี่ปุ่น) ในโตเกียวรัฐธรรมนูญของสมาคมได้ร่างสำเร็จ ในวันที่ ๒๙ สมาชิกของสมาคมประกอบด้วยผู้แทนของประชาชนที่มาจากทุกจังหวัดเว้นแต่จังหวัดกันสู ซุนได้รับเลือกตั้งเป็นประธาน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น