จากปีเจียงไคเช็คสามารถรวบรวมประเทศจีนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน จนกระทั่งการเริ่มต้นสงครามจีน – ญี่ปุ่น (๑๙๒๘ – ๒๙๓๗ ) นั้น แม้การแตกแยกภายในดังจะได้กล่าวไปบทต่อไปนั้นยังคงดำเนินต่อไป แต่ก๊กมินตั๋งก็ได้ตัดสินเปลี่ยนโฉมหน้าของการปฏิวัติจากเผด็จการโดยทหาร มาเป็นการปกครองโดยพรรคการเมือง (poltical tutelage) อันเป็นตอนที่ 2 ของการปฏิวัติหลัดสูตร 3 ชั้นของซุนยัดเซ็น ภายหลังชัยชนะ เจียงได้ลาออกจากตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุดของกองทัพก๊กมินตั๋งพร้อมด้วยตำแหน่งของสภาการทหาร แต่ยังเกาะตำแหน่งฐานะผู้นำของพรรคอย่างเหนียวแน่น เมืองหลวงได้ย้ายจากปักกิ่งมาตั้งอยู่นานกิง ในเดือนมิถุนายน ๑๙๒๙ ศพของตำแหน่งสาธารณรัฐจีนได้รับอัญเชิญจากปักกิ่งมาเก็บรักษาไว้ในสุสานที่สร้างไว้อย่างวิจิตรพิสดาร ณ กรุงนานกิง สถานที่อันเป็นที่เริ่มศักราชของการปกครองโดยพรรคการเมือง
รัฐบาลพิสดารโดยแบ่งผู้ใช้อำนาจอธิปไตยออกเป็น 5 สาขา และนำโดยพรรคการเมืองตามคำสอนของซุนยัดเซ็นหรือคัมภีร์ก๊กมินตั๋งนั้น รัฐบาลที่จัดตั้งใหม่ในปี ๑๙๔๘ โดยยึดถือหลักของรัฐธรรมนูญ ที่ประกาศใช้ในวันที่ ๒๕ ธันวาคม ๑๙๔๖ นั้น ได้ก้าวไปอีกชั้นหนึ่งอันเป็นการยกเลิกการปกครองโดยพรรคการเมือง และเปลี่ยนไปเป็นขั้นสุดท้ายของการปฏิวัติ นั่นคือรัฐบาลในระบอบรัฐธรรมนูญ การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ความจริงเป็นการเปลี่ยนแปลงชื่อเรียกเพื่อให้เป็นไปตามทฤษฎีที่ซุนยัดเซ็นวางไว้เท่านั้น ในการปฏิวัติไม่ว่าจะเป็นระยะเผด็จการโดยทหาร ระยะปกครองโดยพรรคการเมือง หรือระยะการปกครองโดยรัฐธรรมนูญ ฝ่ายทหารโดยการนำของเจียรไคเช็คยังคงใช้อำนาจเผด็จการเสมอมา
การที่จะเข้าใจระบอบการปกครองของจีนภายใต้การนำของก๊กมินตั๋งได้ดีนั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่จะได้พิจารณาถึงคำสอนของซุนยัดเซ็น ซึ่งถือกันว่าเป็นคัมภีร์ของพรรคและองค์การบริหารของพรรค ซึ่งซุนยัดเซ็นได้วางรากฐานไว้เสียก่อน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น