ประเทศญี่ปุ่นซึ่งในตอนแรกได้ตกเป็นเหยื่อของการรุกรานของฝรั่งเช่นเดียวกับจีนนั้น ได้แสดงความสามารถในการเลียนแบบฝรั่งให้จีนเห็นด้วยการปะทะกำลังกับจีนในสงครามจีน – ญี่ปุ่น (๑๘๙๔ – ๑๘๙๕) ในสงครามคราวนี้ จีนต้องยอมเซ็นสนธิสัญญาชิโมโนเซกิ (Treaty of Shimonoseki) กับญี่ปุ่นในวันที่ ๑๗ เมษายน ๑๘๙๕ โดยยอมรับข้อเสนอของฝ่ายญี่ปุ่นเกือบทุกประการ จีนต้องยอมรับความเป็นเอกราชของเกาหลี นั่นคือจีนยอมรับฐานะความเป็นใหญ่ของญี่ปุ่นเหนือเกาหลีดังที่จีนดำรงฐานะมาก่อน และนอกจากจะต้องชำระค่าปฏิกรรมสงครามและเปิดเมืองท่าการค้าให้แก่ญี่ปุ่นตามแบบฉบับสัญญาที่จีนเคยทำกับชาวตะวันตกมาหลายครั้งแล้วนั้น จีนยังต้องเสียเกาะไต้หวัน หมู่เกาะเปสคาดอเรส และแหลมเหลียวตุงให้แก่ญี่ปุ่นอีกด้วย
การแพ้สงครามญี่ปุ่น ติดตามด้วยการขยับขยายอิทธิพลของมหาอำนาจทั้งหลายในดินแดนจีน นับเป็นพลังผลักดันขนานใหญ่สำหรับปัญญาชนชาวจีนจะยอมรับฐานะความเป็นผู้ไร้สมารถภาพของตัว เหตุการณ์ครั้งนี้ได้เปิดตาชาวจีนให้เห็นว่าการเลียนแบบฝรั่งมีความจำเป็นในความเป็นอยู่ของประเทศ ปัญญาชนผู้สนับสนุนให้มีการเปลี่ยนแปลงอาจแบ่งได้เป็น ๒ จำพวก พวกหนึ่งสนับสนุนการปฏิรูป อีกพวกหนึ่งสนับสนุนการปฏิวัติ
ท่าทีของพวกสนับสนุนนโยบายการปฏิรูป นับว่าก้าวไปไกลกว่าพวกต้องการเลียนแบบชาวตะวันตกที่สนใจเฉพาะวิชาการทหารและการอุตสาหกรรม ดังได้กล่าวมาบ้างแล้วข้างต้น คังอิ่วหวุย อาจถือได้ว่าเป็นตัวแทนในกลุ่มชนที่มีความคิดเช่นนี้ ถือได้ว่าเขาแทนความเห็นข้างมากในโครงร่างของรัฐบาลสมัยนั้น คังสำนึกได้จากการสังเกตการณ์พัฒนาประเทศญี่ปุ่นว่า การพัฒนาตามแบบตะวันตกนั้นมีความหมายกว้างกว่าหล่อปืนต่อเรือดังที่กระทำกันอยู่แต่ก่อน ในขณะเดียวกันสังคมจีนยังมีส่วนที่น่าพิสมัยเลิศล้ำกว่าของชาวตะวันตกอยู่มาก ในฐานะที่เป็นหนุ่มที่ปราดเปรื่องในด้านวิชาการ เขาสามารถร่วมมือกับพรรคพวกสร้างสูตรผสมระหว่างของดีของตะวันตกและของดีของจีนในความคิดของเขา เพื่อหวังจะให้เป็นพื้นฐานในวิถีชีวิตของสังคมจีนในอนาคตสืบไป แต่ผู้สนับสนุนเขานั้นมีความคิดเห็นแตกต่างกันไปในข้อที่ว่าจะยอมรับเอา “ของดีของฝรั่ง” มากน้อยเพียงใด
ส่วนพวกที่สนับสนุนนโยบายปฏิวัตินั้น ตั้งตนเป็นปฏิปักษ์ต่อราชวงศ์แมนจูและเป็นปฏิปักษ์ต่อขนบธรรมเนียมประเพณีของจีน และต้องการการเปลี่ยนแปลงอย่างขนานใหญ่ในด้านการเมือง พวกนี้ต้องการรัฐบาลที่เป็นตัวแทนเจตนารมณ์ส่วนใหญ่ของประชาชน ซุนยัดเซ็น ผู้ซึ่งได้หันหลังให้แก่ราชบัลลังก์แมนจูตั้งแต่ ๑๘๘๕ ถือได้ว่าเป็นตัวแทนของพวกที่มีความเห็นนี้
ในระยะเวลาตั้งแต่ปี ๑๘๗๕ – ๑๘๙๘ อาจถือได้ว่าเป็นการเริ่มต้นของการชิงไหวพริบกันระหว่างพรรคที่ต้องการปฏิรูปและพรรคที่ต้องการปฏิวัติ ในระยะเวลาอันสั้นนี้ ฝ่ายแรกนำโดยคังอิ่วหวุย เป็นฝ่ายมีเสียงข้างมาก แต่ภายหลังความล้มเหลวและต้องหนีเอาชีวิตรอดในปี ๑๘๙๘ แล้ว น้ำหนักตาเต็งได้ค่อย ๆ หันเหไปอยู่กับฝ่ายหลังซึ่งนำโดยซุนยัดเซ็น ทิ้งช่วงระหว่างปี ๑๘๙๘ – ๑๙๑๑ ไว้ให้พวกผู้นำประเทศ ฝ่ายอนุรักษ์นิยม และหัวหน้าชาวแมนจูผู้ซึ่งต่อต้านทั้งการปฏิรูปและปฏิวัติได้หายใจเป็นครั้งสุดท้าย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น