ในยุคสังคมนิยม เศรษฐกิจจีนเติบโตในช่วงปี ค.ศ. 1952-1978 เฉลี่ยปีละ 5.7% ซึ่งอยู่ในเกณฑ์สูง ตั้งแต่จีนปฏิรูประบบเศรษฐกิจและใช้นโยบายเปิดเสรี ในปี ค.ศ. 1978 อัตราการเจริญของผลิตภัณฑ์ มวลรวมในประเทศ (GDP) เพิ่มขึ้นในอัตราสูงขึ้นมาโดยตลอดโดยได้รับผลกระทบจากวิกฤติเศรษฐกิจตกต่ำในเอเชียในช่วงปี 1977 – 1978 น้อยมาก อัตราการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจจีนในช่วงปี 1979 – 2000 ยังเจริญเติบโตในอัตรา 7.3-7.5% เนื่องจากจีนเป็นประเทศใหญ่ ประชากรมาก มีตลาดภายในประเทศที่ใหญ่ จึงได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกชลอตัวน้อยกว่าประเทศอื่น 80% ของการเจริญเติบโตเศรษฐกิจมาจากความต้องการภายในประเทศ แต่การส่งออกในรอบ 2 ทศวรรษ ก็มีอัตราเพิ่มถึงปีละ 15% และในปี 2000 จีนเป็นประเทศที่มีมูลค่าส่งออกสูงเป็นอันดับ 6 ของโลก การส่งออกของจีนมีความสำคัญมากกว่า 20% ของผลิตภัณฑ์มวลรวม เพราะว่าภาคส่งออกของจีน มีผลทวีคูณต่อระบบเศรษฐกิจสูง โครงสร้างสินค้าออกของจีน ในรอบ 2 ทศวรรษก็เปลี่ยนไปมาก จากที่เคยส่งออกสินค้าขั้นปฐม เช่น ผลผลิตการเกษตร ถ่านหิน น้ำมัน กลายเป็นสินค้าอุตสาหกรรม และในครึ่งหลังของทศวรรษ 1990 ชนิดของสินค้าอุตสาหกรรมก็เปลี่ยนจากสินค้าที่ใช้แรงงานมาก เช่น ผ้า , เสื้อผ้า , รองเท้า และของเด็กเล่น เป็นสินค้าที่ใช้เทคโนโลยีสูง และมีมูลค่าเพิ่มสูง เช่น อิเล็กทรอนิกส์ (ไฟฟ้า) และเครื่องจักรเป็นสัดส่วนสูงขึ้น (42% ของ สินค้าออกทั้งหมดของจีนในปี 2000) การลงทุนโดยตรงของต่างประเทศ (FDI) ในประเทศจีนก็เพิ่มขึ้น อย่างรวดเร็วมาก ช่วงปี 1988 – 2001 เพิ่มขึ้นถึงปีละ 30% และเมื่อสิ้นปี 2002 มีต่างประเทศไปลงทุนในจีนรวม 446 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราวครึ่งหนึ่งของการลงทุนในเอเชียทั้งหมด
การที่มีการลงทุนต่างประเทศในจีนสูงมาก บวกกับการที่จีนได้เปรียบดุลการค้าอย่างต่อเนื่อง ทำให้จีนมีเงินลงทุนสำรองต่างประเทศ มากเป็นที่สองของโลก คือรองจากญี่ปุ่น (กลางปี 2002 มีเงินทุนสำรองต่างประเทศ 250 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) โดยจีนเป็นหนี้ต่างประเทศ ต่ำกว่าเงินทุนสำรองมาก หนี้ส่วนใหญ่เป็นหนี้ระยะยาว เงินตรา ” เหรินเหมินปี้” หรือหยวนของจีนเป็นเงินตราสกุลแข็ง ที่ถูกสหรัฐเรียกร้องให้มีการปรับค่าให้สูงขึ้น
การที่จีนมีอัตราการเจริญเติบโตสูง ทำให้ผลิตภัณฑ์มวลรวม (GDP) ของจีนเพิ่มขึ้นเท่าตัวในรอบ 10 ปี GDP ในปี 1978 (ปีที่เริ่มปฏิรูปเศรษฐกิจ) 362 พันล้านหยวน ถึงปี 2001 เพิ่มเป็น 3,435 พันล้านหยวน ถ้าคิดเทียบเป็นดอลลาร์สหรัฐ จีนจะมีขนาดของเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับที่ 7 ของโลก แต่ถ้าคิดแบบเปรียบเทียบกับ อัตราค่าครองชีพ (PPP) ของจีน ซึ่งต่ำกว่าประเทศอื่นมากแล้ว จีนจะมีขนาดของเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 2 รองจาก GDP สหรัฐที่คิดแบบเทียบค่าครองชีพเท่านั้น แต่การคิด GDP แบบเปรียบเทียบค่าครองชีพเช่นนี้ อาจจะสูงเกินความจริงไปก็ได้
ผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ (GNP) ต่อหัวของจีนในปี 2002 เฉลี่ยอยู่ราว 900 ดอลลาร์สหรัฐ แต่ มีความแตกต่างกันสูงมาก ระหว่างภาคตะวันออกและเมืองชายฝั่งทะเลที่มีการพัฒนาเศรษฐกิจสูง ที่คนชั้นกลางอาจจะมีรายได้เฉลี่ย ถึงปีละ 4,000 – 5,000 ดอลลาร์สหรัฐ กับประชากรในแถบตะวันตกและที่อยู่ลึกเข้าไปในแผ่นดินใหญ่ที่มีการพัฒนาน้อยกว่าซึ่งมีรายได้เฉลี่ยเพียง 400-500 ดอลลาร์สหรัฐ
ในปี 2001 ภาคอุตสาหกรรม มีสัดส่วนใน GDP สูงถึง 45% ซึ่งสูงกว่าประเทศกำลังพัฒนาโดยทั่วไป สินค้าอุตสาหกรรมที่จีนผลิตได้มากคือ ถ่านหิน , เหล็กกล้า , โทรทัศน์สี , ตู้เย็น , เครื่องปรับอากาศ , โทรศัพท์มือถือ , คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล , มอเตอร์ไซค์ และ รถยนต์ ปลายปี 2002 จีนมีคนลงทะเบียนใช้ อินเตอร์เน็ต 59 ล้านคน ใหญ่เป็นอันดับสองรองจากสหรัฐ อุตสาหกรรมรถยนต์และการใช้รถยนต์ภายในประเทศก็กำลังเติบโตมาก ซึ่งทำให้จีนต้องสั่งน้ำมันเข้า และมีปัญหามลภาวะทางอากาศเพิ่มขึ้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น