ญี่ปุ่นชนะรัสเซีย ในสงครามรุสเซีย – ญี่ปุ่น ปี ๑๙๐๔ – ๑๙๐๕ เหตุการณ์ครั้งนี้ก่อให้เกิดกระแสคลื่นลูกใหม่ไปกระทบพระราชสำนักแมนจู เช่นเดียวกับการปฏิรูปครั้งก่อนที่จะต้องมีกำลังภายนอกมาผลักดัน ความคิดที่จะก่อการปฏิรูปจึงจะเกิดขึ้น และขบวนการปฏิรูปก็มีอยู่ได้ไม่ยั่งยืน และต้องสูญสลายไปด้วยเหตุต่าง ๆ กัน การปฏิรูปครั้งนี้นับเป็นความพยายามของ พระราชชนนี ฉือซี ครั้งสุดท้าย ก่อนที่พระนางจะได้หายไปจากเวทีการเมืองด้วยเหตุชราภาพ ในปี ๑๙๐๘ ผู้นำในการปฏิรูปครั้งนี้มิได้แตกต่างไปจากคราวที่แล้วในส่วนตัวบุคคลเท่าไรนัก แต่ในด้าวความคิด ปรากฏว่า พวกนี้เริ่มมองเห็นความดีของสังคมและสถาบันตะวันตกมากขึ้น กล่าวโดยเฉพาะก็คือ เขาเห็นว่าการมีรัฐธรรมนูญเป็นแนวทางปกครองประเทศ เป็นพลังทำให้ญี่ปุ่นเอาชนะการปกครองแบบเผด็จการของรุสเซียได้
กล่าวโดยสรุป การปฏิรูปโดยพระราชสำนักแมนจูในปี ๑๙๐๕ – ๑๙๑๑ มีสาระที่สำคัญ คือ การจัดร่างรัฐธรรมนูญซึ่งมีการดำเนินการโดยย่อดังนี้
(๑) ในด้านค้นคว้า รัฐบาลได้ส่งคนออกไปดูงานเกี่ยวกับรัฐบาลตามระบอบรัฐธรรมนูญในต่างประเทศ ๒ คณะ ในปี ๑๙๐๕ และ ๑๙๐๗ ชุดแรก ประกอบด้วย ขุนนางข้าราชการผู้ใหญ่ แหล่งดูงานของกรรมการคณะนี้ ได้แก่ ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา และประเทศต่าง ๆ ในยุโรป พวกนี้มีความเลื่อมใสในระบอบรัฐธรรมนูญของญี่ปุ่นมากที่สุด ส่วนคณะที่ ๒ นั้นประกอบด้วย ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่น้อยกว่าชุดแรก และประเทศที่พวกนี้ได้ผ่านการดูงานก็จำกัดเฉพาะ ญี่ปุ่น อังกฤษ เยอรมัน เช่นเดียวกันพวกนี้ให้ความเห็นว่า ระบอบรัฐธรรมนูญตามที่ใช้อยู่ในประเทศญี่ปุ่น และรัฐธรรมนูญรัสเซียเท่านั้นที่เหมาะสมกับสังคมจีนที่สุด
(๒) จัดตั้งสำนักงานคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญขึ้น ในปี ๑๙๐๕ เพื่อเป็นองค์การสำหรับเตรียมการร่างกฎหมายและรัฐธรรมนูญ นับว่าเป็นการเลียนแบบญี่ปุ่นในการจัดร่างรัฐธรรมนูญเมย์จิ
(๓) ได้ปรับปรุงหน่วยราชการบริหารส่วนกลาง ในปี ๑๙๐๖ และ ๑๙๑๑ ตามแบบแผนตะวันตก ในการปรับปรุงหน่วยราชการบริหารส่วนกลางเป็นครั้งแรกนั้น มิได้มีการเปลี่ยนแปลงสาระสำคัญแต่ประการใด กระทรวงทั้ง ๖ ที่ใช้กันมาตั้งแต่สมัยราชวงศ์ถังนั้นได้เปลี่ยนเป็น ๑๐ กระทรวง และบางกระทรวง ตำแหน่งได้เปลี่ยนชื่อไป แต่พนักงานและตัวรัฐมนตรียังคงใช้คนจำพวกเดิม พวกแมนจูยังคงเป็นองค์ประกอบที่สำคัญในองค์การรัฐบาล ส่วนการปรับปรุงครั้งที่ ๒ นั้นมีลักษณะก้าวไปไกลกว่าครั้งแรก แต่เป็นการล่าช้าเกินไปที่จะยับยั้งกำลังฝ่ายปฏิวัติได้
(๔) ได้ประกาศใช้หลักการรัฐธรรมนูญในปี ๑๙๐๘ โดยให้สัญญาว่า จะประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับถาวรในปี ๑๙๑๖ ต่อมาได้ประกาศสัญญาว่าจะประกาศใช้ในปลายปี ๑๙๑๓
หลังจากถูกกดดันโดยขบวนก่อการปฏิวัติในปี ๑๙๑๑ พระราชสำนักได้ประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว ซึ่งประกอบด้วย ๑๙ มาตรา ตามรัฐธรรมนูญฉบับนี้ กำหนดให้จัดตั้งรัฐบาลในระบบรัฐสภา โดยให้จัดตั้งรัฐสภาขึ้นอย่างรีบด่วน เพื่อจะผูกใจประชาชนและตัดกำลังฝ่ายปฏิวัติ หยวนซื่อไข่ได้รับเลือกตั้งจากรัฐสภาให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรีได้จัดตั้งขึ้น และหยวนได้ใช้รัฐสภาและคณะรัฐมนตรีนี่เองเป็นเครื่องต่อรองกับฝ่ายปฏิวัติ
(๕) การประกาศใช้กฎหมายเลือกตั้ง และการจัดตั้งสภาส่วนจังหวัดและสภาแห่งชาติหลายฉบับในปี ๑๙๐๘ – ๑๙๑๑ สิทธิของผู้มีสิทธิ์ออกเสียงเลือกตั้งสมาชิกสภาจังหวัดตามกฎหมายว่าด้วยสภา ส่วนจังหวัดนั้นจำกัดอยู่แต่ในวงแคบ คุณสมบัติที่สำคัญของผู้มีสิทธิ์ออกเสียงจะต้องเป็นผู้ได้รับการศึกษาหรือมีหลักทรัพย์หรือเป็นข้าราชการเป็นต้น อำนาจของสภาจังหวัดก็อยู่ในวงแคบมาก ข้าหลวงตรวจการและผู้ว่าราชการมณฑลมีสิทธิที่จะเสนอดความเห็นไปยังรัฐบาลกลางให้มีการยุบสภาได้ เมื่อตอนที่ราชบัลลังก์ถูกโค่นล้มนั้น ปรากฏว่าได้มีสภาตามกฎหมายว่าด้วยการนี้ตั้งขึ้นรวม ๑๗ จังหวัด
สภาแห่งชาติได้มีการประชุมครั้งแรกในเดือนตุลาคม ๑๙๑๐ สภานี้ประกอบด้วย สมาชิกทั้งหมด ๒๐๐ คน ครึ่งหนึ่งของจำนวนนี้ได้รับเลือกตั้งจากสมาชิกสภาจังหวัดและโดยสภาจังหวัด อีกครึ่งหนึ่งได้รับเลือกตั้งจากพระมหาจักรพรรดิ จากขุนนางข้าราชการชั้นผู้ใหญ่และผู้ทรงคุณวุฒิในด้านความรู้เป็นพิเศษและผู้ที่เสียภาษีมากเป็นพิเศษ สภาแห่งชาติมีอำนาจในการออกกฎหมายและควบคุมงบประมาณแผ่นดิน ภายใต้การแซงค์ชั่นของจักรพรรดิ ในปีแรกรัฐบาลมิได้ยึดถือกฎหมายทั่วไปและกฎหมายงบประมาณเป็นหลักในการปฏิบัติราชการแต่ประการใด แต่ในวินาทีที่คณะปฏิวัติกำลังจะบรรลุถึงซึ่งความสำเร็จนั้น ปรากฏว่ารัฐสภาเพิ่มความแข็งแกร่งขึ้น
การปฏิรูปครั้งนี้ รัฐบาลแมนจูเลียนแบบรัฐบาลญี่ปุ่นและรัฐบาลปรัสเซีย โดยหวังที่จะกำอำนาจไว้ในกลุ่มพรรคพวกของตัว แตกต่างกับหลักการประชาธิปไตยตามความเข้าใจของชาวตะวันตก พระมหาจักรพรรดิของจีนยังคงเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดแห่งรัฐเช่นเดียวกับหลักการในรัฐธรรมนูญญี่ปุ่นและรัฐบาลปรัสเซียในสมัยนั้น นอกจากนั้นรัฐบาลยังได้พยายามรวมอำนาจการบริหารพลเรือนและการทหารซึ่งไม่อาจแบ่งแยกกันได้อย่างเด็ดขาด และมีฐานะอยู่ค่อนข้างอิสระจากรัฐบาลกลางนั้นมาอยู่ภายใต้การควบคุมของจักรพรรดิ การเลือกตั้งผู้แทนราษฎร แม้จะถือว่าเป็นการเลือกตั้งครั้งแรกในประวัติศาสตร์จีน สิทธิเลือกตั้งของประชาชนก็ได้จำกัดอยู่ในชนส่วนน้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อจำกัดในเรื่องทรัพย์สินนั้นนับวาได้ตัดสิทธิของคนเป็นจำนวนมาก แม้ว่าบุคคลนั้นจะเป็นคนมีความรู้พอสมควรก็ตาม หลักการนี้ก็อาจกล่าวได้ว่า หลักตาลอกแบบมาจากญี่ปุ่นและปรัสเซียเช่นเดียวกัน ในการเลือกตั้งสภาจังหวัดครั้งแรก ปี ๑๙๐๙ ปรากฏว่าในมณฑล ซันตุงมีชายผู้มีสิทธิออกเสียงเพียง ๑๑๙,๕๔๙ คน ในจำนวนพลเมืองทั้งหมด ๓๘,๐๐๐,๐๐ คน ในมณฑลหูเป่ย ๑๑๓,๒๓๓ คน ในจำนวนพลเมืองทั้งหมด ๓๔,๐๐๐,๐๐๐ คน
ตามที่กล่าวมาแล้วอาจจะทำให้เราคาดคะเนว่า ถ้าหากปล่อยให้รัฐบาลแมนจูดำเนินการต่อไปโดยไม่มีการปฏิวัติ ประเทศจีนอาจจะเจริญก้าวหน้าไปในแนวเดียวกับประเทศญี่ปุ่นและปรัสเซียได้ แม้ว่าสมมติฐานข้อนี้อาจจะเป็นไปได้ แต่การรักษาฐานความเป็นเจ้าเหนือหัวของราชวงศ์แมนจูนั้นเป็นการยาก นั่นก็คือเป็นปัญหาของจีน โดยเฉพาะที่ยังมีการแบ่งเป็นจีนแท้และชาวแมนจู แมนจูซึ่งเป็นคนส่วนน้อยยังพยายามจะหวงอำนาจไว้ให้แก่พวกของตัวราชการบริหารภายหลังการปฏิรูปเปลี่ยนระบบความมีฐานะเท่าเทียมกัน ระหว่างคนจีนและคนแมนจู มาให้ความลำเอียงแก่คนแมนจู ในตำแหน่งรัฐมนตรี ๑๓ ตำแหน่ง ให้คนจีนได้รับเพียง ๕ ตำแหน่ง การปฏิรูปทางการบริหารจึงอาจถือได้ว่าเป็นชัยชนะของชาวแมนจู แต่เป็นการพ่ายแพ้ของ คนจีน จึงเป็นการยกที่จะให้ชาวจีนซึ่งมีจำนวนท่วมท้นนั้นสนับสนุนรัฐบาลปฏิรูปต่อไป ความจริงการปฏิรูปโดยมีจุดประสงค์เพื่อรักษาอำนาจต่อไปเช่นนี้ ในระหว่างที่ชาวจีนกำลังก่อหวอดปฏิวัติอยู่ทั่วไปนั้น เป็นความผิดพลาดของรัฐบาลที่ไม่พยายามเกลี้ยกล่อมเพื่อดึงดูดความจงรักภักดีจากประชาชน การปฏิบัติของรัฐบาล ในการปฏิรูปจึงส่งเสริมกำลังให้ฝ่ายปฏิวัติเข้มแข็งขึ้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น