ประเทศจีนอยู่ภายใต้การนำของราชวงศ์แมนจูเป็นเวลาสองร้อยปีเศษก็ถึงซึ่งความเสื่อม เมื่อเราสังเกตประวัติวัฏจักรของราชวงศ์จีนเป็นเวลา ๒,๐๐๐ ปีเศษแล้ว การเสื่อมโทรมของราชวงศ์แมนจูก็เป็นไปตามกฎการเกิดการเสียอำนาจของรัฐบาลจีนดังได้กล่าวแล้ว แต่การสูญเสียอำนาจของราชวงศ์แมนจูครั้งนี้ผิดกับการสูญเสียอำนาจของราชวงศ์จีนในสมัยก่อน ในข้อที่ว่า มีมหาอำนาจตะวันตกเข้าไปแทรกแซงด้วยกำลังอาวุธ อันทันสมัย มหาอำนาจตะวันตกได้ฝ่าน้ำข้ามทะเลไปแสดงแสนยานุภาพหรือ “ความป่าเถื่อน” ของเขาต่อ ชนชาวจีน ด้วยการประเดิมชัยในสงครามฝิ่น ปี ๑๘๔๐ – ๑๘๔๒ และสงครามแอโร ปี ๑๘๕๗ – ๑๘๕๘ ประเทศจีนต้องยอมจำนนต่อการบีบบังคับด้วยอำนาจของมหาอำนาจตะวันตก อันเป็นผลให้ต้องชำระ ค่าปฏิกรรมสงคราม ต้องเปิดเมืองท่า และผลซึ่งตามมาก็คือการแทรกซึมในด้านการเมือง จนทำให้การปกครองตามระบอบสมบูรณาญาสิทธิราช ตลอดทั้งรากฐานในทางเศรษฐกิจ การสังคมต้องสั่นคลอนไปตามกัน
ปฏิกิริยาโต้ตอบการรุกรานชองชาวตะวันตกในเบื้องแรกของข้าราชการจีน ตลอดทั้งปัญญาชนนั้นก็คือ การฟื้นฟูและปรับปรุงสังคมภายในเพื่อต้อนรับต่อภัยคุกคามภายนอก อย่างไรก็ตาม ความพยายามของข้าราชการ “ตงฉิน” ผู้รักชาติทั้งหลายต้องประสบกับความรันทด เมื่อประจักษ์ถึงความพ่ายแพ้ในยามสงครามในโลกที่ไม่มีการแบ่งค่ายเพื่อแย่งประเทศเป็นมิตรกัน ดังที่เป็นอยู่ในปลายศตวรรษที่ ๑๙ และต้นศตวรรษ ที่ ๒๐ นั้น หากมีผลเรียกร้องความเห็นใจจากชาวโลกได้ไม่ ประเทศจีนไม่เพียงแต่จะถูกบังคับโดยผู้ชนะสงครามตามวิสัยของการสงคราม แต่มือภายนอกผู้มิใช่คู่สงครามก็ถือโอกาสจากการพ่ายแพ้ของจีนขยับขยายอิทธิพลของตนในผืนแผ่นดินจีนให้กว้างขวางยิ่งขึ้น พฤติกรรมเช่นนี้ได้สร้างลักทธิชาตินิยมขึ้นในหมู่ข้าราชการผู้รักชาติทั้งหลาย ข้อเสนอแนะในการปฏิรูปสถาบันการปกครองกลายเป็นปัญหาชีวิตประจำวันของข้าราชการจีน แต่ส่วนมากยังติใจ “ของเก่า” อยู่ อันเป็นเหตุให้การปฏิรูปลากลู่ต่อไปอย่างทุกลักทุเล จนกระทั่งภายหลัง “กบฏมวย” (Boxer Rebellion, 1900) คนละทิ้ง “ของเก่า” เพิ่มจำนวนมากขึ้น และรัฐบาลได้เพิ่ม ความพยายามในการปฏิรูประบอบการปกครองมากขึ้น แต่ราชวงศ์แมนจูได้ปล่อยให้เหตุการณ์ล่าช้าไปเกินกว่าจะแก้ไขได้เสียแล้ว
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น