พวกนิยมระบอบสาธารณรัฐมุ่งหมายจะให้หยวนซื่อไข่ใช้อำนาจบริหารผ่านคณะรัฐมนตรีและรัฐสภา โดยดำเนินการปกครองตามรัฐธรรมนูญและกฎหมายที่วางไว้ แต่หยวนเห็นว่า สถาบันและกฎหมายดังกล่าวเป็นเครื่องกีดขวางความเป็นอิสระของตน จึงไม่ใช้เป็นแนวทางบริหารประเทศ หยวนอาศัยความสนับสนุนจากข้าราชการของรัฐบาลในอดีต พวกนิยมการปฏิรูปสมัยการปฏิรูป ปี ๑๘๙๘ และพรรคพวกของเขาทั้งฝ่ายทหารและฝ่ายพลเรือน หยวนสามารถใช้อำนาจได้อย่างอิสระอยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่ง
คณะรัฐมนตรีชุดแรกของรัฐบาลในระบอบสาธารณรัฐนั้น ไม่ได้เป็นเครื่องมือของประธานาธิบดีสมดังหยวนมุ่งหมาย หยวนเลือกถัง เซ่าอี้ เป็นนายกรัฐมนตรีเพราะเห็นว่าเป็นคนสนิทของตน ฝ่ายนิยมสาธารณรัฐยอมรับก็เพราะเห็นว่า ถัง เซ่าอี้ มีท่าทีแสดงความเห็นใจการปฏิวัติ ซึ่งเห็นได้จากตอนที่เขาเป็นผู้แทนของรัฐบาลปักกิ่งในการเจรจารวมประเทศจีนก่อนหน้านั้น ถังผู้เคยผ่านการศึกษาในสหรัฐอเมริกา ไม่ยอมเป็นลูกมือของหยวนดังคณะทหารเป่ยหยาง รัฐบาลถังต้องประสบปัญหาหลายประการ ในที่สุดเขาต้องลาออกในเดือนมิถุนายน ๑๙๑๒ เพราะปัญหาการขัดแย้งกันในเรื่องเงินกู้จากต่างประเทศ และการขัดแย้งกัน ในการแต่งตั้งผู้บัญชาการทหารในเขตจังหวัดพระนคร หยวนแต่งตั้งหลูเจิงเสียงดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแทน เมื่อรัฐสภาไม่ยอมให้ความไว้วางใจรัฐมนตรีทั้ง ๖ นาย ที่ตั้งขึ้นมาแทนรัฐมนตรีที่ลาออกไปตามถัง หยวนแก้ปัญหาโดยการส่งรายนามรัฐมนตรี ๖ คน ให้สภาชั่วคราว แล้วใช้กลเม็ดลายครามตามด้วยจดหมายของพรรคพวกขู่จะเอาชีวิตของสมาชิกรัฐสภา และกุข่าวว่าจะใช้กำลังทหารเข้าบังคับ รัฐสภาชั่วคราวต้องยอม หลีกทางให้อำนาจ แต่หลูอยู่ในตำแหน่งไม่นานก็ต้องมอบอำนาจในการบริหารงานให้แก เจ้าผิงจุน ปฏิบัติราชการแทนด้วยเหตุผลป่วย ในสุดเดือนกันยายน เจ้าผิงจุนรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแทน (เจ้า อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ผู้ซึ่งมีประวัติว่าไม่เคยเข้าร่วมประชุมคณะรัฐมนตรีเลยในสมัยรัฐบาลถัง โดยให้เหตุผลว่าเรื่องที่พิจารณาไม่เกี่ยวกับกระทรวงของตนนั้นทำหน้าที่เสมือนหนึ่งเป็นเลขาธิการ ของประธานาธิบดี) ฐานะของหยวนมีความมั่นคง เพราะว่าเขาสามารถบังคับฝ่ายทหารโดยผ่านคณะเสนาธิการทหาร กระทรวงทหารบกและกระทรวงทหารเรือซึ่งอยู่ในกำมือของนักการทหารตลอดมานั้นได้ นอกจากนั้นเขายังได้จัดตั้งสำนักบัญชาการทหารสูงสุดภายในสำนักงานของเขาอีกด้วย
หยวนมีข้อผูกพันตามรัฐธรรมนูญชั่วคราวเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภานิติบัญญัติในวันที่ ๑๒ สิงหาคม ๑๙๑๒ รัฐบาลได้ออกกฎหมายเลือกตั้งสมาชิกสภานิติบัญญัติ กฎหมายนี้กำหนดให้มีการเลือกตั้งสมาชิก ๒ ประเภท คือ สมาชิกวุฒิสภา (ซันอี้หยวน) มีจำนวน ๒๗๔ คน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (จุ้งอี้หยวน) มีจำนวน ๕๙๖ คน ให้สมาชิกวุฒิสภาได้รับการคัดเลือกทางอ้อมโดยสภาจังหวัด และให้อยู่ในตำแหน่งครั้งละ ๖ ปี โดยที่ ๑/๓ ของสมาชิกผลัดกันออกทุก ๆ ๒ ปี ให้สมาชิกสภาผู้แทนได้รับเลือกตั้งโดยตรงจากราษฎรตามหลักอัตราส่วน (Proportional Representation) และให้สมาชิกอยู่ในตำแหน่งครั้งละ ๓ ปี
เพื่อเป็นการต้อนรับรัฐสภาในระบอบประชาธิปไตย ซุนและพรรคพวกของเขา วางจิงวุ่ย หูฮั่นหมิน หวงซิง และสุ้ง เจี้ยวเหยิน ได้เปลี่ยนชื่อของสมาคมถุงเหมิงซึ่งเป็นสมาคมลับนั้นรวมกับพรรคการเมืองย่อย ๆ อีกหลายพรรค แล้วขนานนามขึ้นเป็นพรรคการเมืองเรียกว่าก๊กมินตั๋ง (พรรคประชาชน) ในวันที่ ๒๕ สิงหาคม ๑๙๑๒ ซุนและหวงซิงไม่มีลักษณะเหมือนกับโอกุมาและอีตางากิของญี่ปุ่น ผู้นำในการต่อสู้ เพื่อหลักการประชาธิปไตยตามระบบรัฐสภา ซุนและหวงไม่ให้ความสนใจระบบรัฐสภา แต่อุทิศชีวิตของตนไปในการเร่งรัดพัฒนาการศึกษาและการอุตสาหกรรม โดยหวังจะถือเป็นรากฐานความมั่นคงของชาติสืบไป ซุนเข้ารับตำแหน่งเป็นผู้ว่าการถไฟในกลางปี ๑๙๑๒ พร้อมด้วยมีอำนาจเต็มในหารกจัดระเบียบและแก้ไขระบบการรถไฟทั่วประเทศ รวมทั้งอำนาจในการกู้เงินจากต่างประเทศ เขาประกาศนโยบายออกมาว่าจะสร้าง ทางรถไฟให้ยาวถึง ๒๐๐,๐๐๐ ไมล์ คนส่วนมากจึงพากันขนานนามให้ว่า “ซุนขี้โม้” (ซุนต้าเผ้า) อย่างไรก็ตาม เขามีความสุจริตในการที่จะปรับปรุงประเทศจีนให้ทันสมัยและคิดว่าการร่วมมือระหว่างรัฐบาลกับพรรคการเมืองฝ่ายค้านเป็นสิ่งจำเป็นในการพัฒนาประเทศหวงซิงปลดทหารภายใต้การบังคับบัญชาของเขาภายหลังที่รัฐบาลได้รวมไปอยู่ภายใต้การนำของหยวนแล้ว ทั้งนี้เพราะเขามองเห็นว่ารัฐบาลแห่งชาติ ธนาคารแห่งชาติจะไม่จ่ายเงินและให้กู้เงินสำหรับบำรุงกองทหารต่อไป จึงปลดทหารโดยปราศจากการจ่ายเงินเดือนเพื่อแสดงความรักชาติและความจงรักภักดีต่อรัฐบาลสาธารณรัฐ ต่อมาเขาได้รับตำแหน่งผู้ควบคุมการเหมืองแร่และ การก่อสร้างทางรถไฟสายกวางตุ้ง – ฮั่นโข่ว เหลือแต่สุ้ง เจี้ยวเหยิน ซึ่งยังมีความทะเยอทะยานที่จะแสวงหาอำนาจทางรัฐสภาเพื่อจำกัดอำนาจหยวนซื่อไข่
ชัยชนะในการเลือกตั้งของก๊กมินตั๋ง พร่าชีวิตของสุ้งเจี้ยวเหยินในการเลือกตั้ง เดือนธันวาคม ๑๙๑๒ ปรากฏว่าก๊กมินตั๋งได้รับเลือกตั้ง ๑๒๓ ที่นั่งในจำนวน ๒๗๔ ที่นั่งของวุฒิสภา และ ๒๖๙ ในจำนวน ๒๙๖ ของสมาชิกสภาผู้แทน สุ้ง เจี้ยวเหยิน ผู้ซึ่งประกาศหาเสียงในที่ต่าง ๆ ว่า ต้องการจะให้พรรคการเมืองที่มีเสียงข้างมากในรัฐสภาควบคุมรัฐบาล ในวันที่ ๒๐ มีนาคม ๑๙๑๓ เขาถูกฆาตกรรมที่สถานีรถไฟเมืองเซี่ยงไฮ้ ผลจากการสอบสวนปรากฏว่า ฆาตกรถูกว่าจ้างโดยนายกรัฐมนตรี เจ้าผิงจุน และมีส่วนพัวพันถึงประธานาธิบดีหยวนซื่อไข่ด้วย
การตายของสุ้ง เจี้ยวเหยิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและการป่าไม้ เพิ่มความดุเดือดของลูกพรรคก๊กมินตั๋งยิ่งขึ้น รัฐสภาทำการคัดค้านหยวนในปัญหาการกู้เงินต่างประเทศอย่างหนักหน่วง
การขาดแคลนการเงินเป็นปัญหาหนักสำหรับการรักษาอำนาจของหยวน รัฐบาลของเขาต้องแสวงหาเงินกู้จากต่างประเทศอยู่เนือง ๆ เงินคงคลังไม่มีเหลือ เงินภาษีที่เก็บได้ก็ลดน้อยลงตามลำดับ รายได้ส่วนใหญ่ของรัฐในการเก็บภาษีส่วนมากมาจากภาษีศุลกากรที่จัดเก็บโดยเจ้าหน้าที่ศุลกากรต่างประเทศ นอกนั้นถูกจัดสรรไปบำรุงส่วนท้องถิ่น หยวนเห็นไม่มีทางที่จะปฏิบัติตามภาระผูกพันที่มีต่อต่างประเทศ และค่าใช้จ่ายในราชการบริหารโดยเฉพาะอย่างยิ่งค่าใช้จ่ายในการทหาร ซึ่งเขาต้องการเพิ่มเพื่อต้อนรับกับการปฏิวัติที่อาจจะเกิดขึ้นในระลอกใหม่ ภายหลังการเปิดเผยการฆาตกรรมสุ้ง เจี้ยวเหยินแล้ว
หลังจากที่ได้เงินกู้จากภาคีธนาคาร ในเดือนกุมภาพันธ์ ๑๙๑๒ และได้รับเงินกู้ล่วงหน้าเป็น ส่วนหนึ่งแล้ว หยวนปรารถนาที่จะกู้เงินจำนวนเพิ่มเติมโดยจะไม่อาศัยอำนาจรัฐสภา และในวันที่ ๒๖ ซึ่งเป็นวันเดียวกันกับการเปิดเผยกรณีฆาตกรรมสุ้ง หยวนสามารถเซ็นสัญญากู้เงินจากต่างประเทศเป็นจำนวนเงินถึง ๕๐,๐๐๐,๐๐๐ ปอนด์
เจ้าหนี้เงินกู้ต่างพอใจในการให้เงินหยวน ในเมื่อตนได้เข้ามีส่วนร่วมในการแทรกแซงทางเศรษฐกิจของจีน ญี่ปุ่น และรุสเซีย ผู้ซึ่งต่อมาได้เข้าร่วมในภาคีธนาคารแล้วนั้นมีข้อเรียกร้องพิเศษ ญี่ปุ่นตั้งเงื่อนไขในการให้กู้เงินว่า จีนจะต้องไม่ทำประการใด ๆ อันเป็นการเสื่อมเสียสิทธิพิเศษของญี่ปุ่นในแมนจูเรียและทิศตะวันออกของมองโกเลียใน ส่วนรุสเซียตั้งข้อเรียกร้องว่า สิทธิของตนในแมนจูเรีย มองโกเลีย และจีนตะวันตกจะได้รับการคุ้มครอง นอกจากนั้นให้รัฐบาลจีนเชิญชาวอังกฤษหนึ่งคนเป็นผู้ควบคุมภาษีเกลือและมีชาวเยอรมันคนหนึ่งเป็นผู้ช่วย ในสำนักงานเงินกู้ต่างประเทศให้จ้างชาวรุสเซียหนึ่งคนเป็นผู้อำนวยการ และให้มีชาวฝรั่งเศสและรุสเซียสัญชาติละหนึ่งคนเป็นที่ปรึกษา ส่วนรัฐบาลสหรัฐฯ เห็นว่าเงื่อนไขในการให้เงินกู้ เป็นการทำลายความเป็นเอกภาพในราชการบริหารของจีน ประธานาธิบดี วูดโร วิลสัน (Woodrow Wilson) จึงมีคำสั่งให้ธนาคารของสหรัฐถอนตัวออกจาภาคีธนาคาร ถ้าหากไม่เกิดกรณีฆาตกรรมสุ้ง หยวนก็คงไม่รับเงิน ไปอย่างเสียเปรียบเช่นนั้น
หยวนต้องเผชิญกับรัฐสภาที่เลือกตั้งใหม่ในปัญหาเงินกู้ เมื่อสภาทั้ง ๒ ได้เปิดประชุมในวันที่ ๘ เมษายน ๑๙๑๓ ก็ตั้งข้อแย้งว่าเงินกู้นั้นมิได้เป็นไปตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญเพราะมิได้รับอนุมัติจากรัฐสภา หยวนค้านว่า เงินกู้จากต่างประเทศนั้นได้รับอนุมัติจากรัฐสภาชั่วคราวแล้ว ซึ่งก็เป็นความจริง แต่หยวนได้มติมาด้วยวิธีการขู่และให้สินบนแก่สมาชิกสภาชั่วคราว ภายหลังที่ได้มีการลงนามในสัญญาเงินกู้ตามพิธีการแล้ว เสียงต่อต้านในรัฐสภาเป็นไปอย่างเผ็ดร้อนและการประชุมปราศจากความเป็นระเบียบ วุฒิสภาได้มีมติ ด้วยคะแนนเสียง ๑๐๗ ต่อ ๖๔ ว่า “การเซ็นสัญญาเงินกู้ของรัฐบาลโดยปราศจากการส่งข้อเสนอการกู้เงินไปให้รัฐสภาพิจารณาให้ความอนุมัตินั้น มิชอบด้วยบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ ฉะนั้นให้ถือว่าสัญญากู้เงินนั้น เป็นโมฆะ” มติเช่นเดียวกันได้ผ่านสภาผู้แทนราษฎรด้วยคะแนนเสียง ๒๒๓ ต่อ ๑๔๓ ซุนยัดเซ็นพยายามจะยับยั้งสัญญากู้เงินนี้โดยการส่งโทรเลขไปกรุงลอนดอน เพื่อขอให้ใช้อิทธิพลชักจูงธนาคารของห้ามหาอำนาจยกเลิกสัญญากู้เงินครั้งนี้ แต่ไม่ได้ผล ตรงกันข้ามในวันที่ ๒๑ พฤษภาคม ภาคีธนาคารให้เงินกู้แก่หยวนมากกว่าสัญญาเดิมเสียอีก
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น