วันศุกร์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2553

การปฏิวัติครั้งที่สองของจีน ปี ค.ศ. 1949

ความสำคัญ การปฏิวัติของจีนครั้งที่สอง ปี ค.ศ. 1949 โดยการนำของ หมา เจ๋อตุงผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสาธารณรัฐประชาธิปไตย ข้าสู่ระบอบสังคมนิยมหรือคอมมิวนิสต์

สาเหตุการปฏิวัติของจีนครั้งที่สอง ปี ค.ศ. 1949 ภายหลังสงครามโลกครั้งที่สองยุติลง (ค.ศ. 1939 – 1945) สรุปได้ดังนี้
(1) ปัญหาความเสื่อมโทรมทางเศรษฐกิจและความยากจนของประชาชน
ซึ่งรัฐบาลของประธานาธิบดี เจียง ไคเช็ค ไม่สามารถแก้ปัญหาได้
(2) การเผยแพร่อุดมการคอมมิวนิสต์ในประเทศจีน เพื่อมุ่งแก้ไขปัญหาความยากจนของราษฎร โดยให้ความสำคัญแก่ชนชั้นผู้ใช้แรงงานและเกษตรกร และเป็นศัตรูกับชนชั้นนายทุน

ความสำเร็จของการปฏิวัติของจีนปี ค.ศ. 1949 สรุปได้ดังนี้
(1) ระบอบคอมมิวนิสต์ในยุคของ เหมา เจ๋อตุงรัฐบาลได้ยึดที่ดินทำกินของ
เอกชนมาเป็นของรัฐบาล และใช้ระบบการผลิตแบบนารวม (หรือระบบคอมมูน) ชาวนามีฐานะเป็นแรงงานของรัฐ ทำให้ชาดความกระตือรือร้นเพราะทุกคนได้รับผลตอบแทนท่ากัน ชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนส่วนใหญ่มีสภาพลำบากยากจนเหมือนๆ กัน
(2) ระบอบคอมมิวนิสต์ในยุคของ เติ้ง เสี่ยวผิงเป็นยุคที่จีนปฏิรูปเศรษฐกิจของประเทศให้เป็นระบบตลาดหรือทุนนิยม โดยมรับแนวทางทุนนิยมของชาติตะวันตกมากขึ้น เช่น เปิดรับการลงทุนจากต่างชาติเพื่อให้คนจีนมีงานทำ และอนุญาตให้ภาคเอกชนดำเนินธุรกิจการค้าได้ เป็นต้น ทั้งนี้ มีระบอบการปกครองยังคงเป็นคอมมิวนิสต์เหมือนเดิม
(2) นโยบาย หนึ่งประเทศ สองระบบในสมัยของ เติ้ง เสี่ยวผิงหมายถึง มี
ประเทศจีนเพียงประเทศเดียว แต่มีระบบเศรษฐกิจและการปกครอง 2 แบบ ได้แก่
- ระบอบคอมมิวนิสต์ สำหรับจีน
- ระบอบประชาธิปไตยและทุนนิยมเสรี สำหรับฮ่องกงและมาเก๊า

ผลกระทบของการปฏิวัติจีนครั้งที่สอง ปี ค.ศ.1949 คือ
(1) การปฏิวัติของ เหมา เจ๋อตุงเป็นแบบอย่างในการปฏิวัติของกระบวนการ
คอมมิวนิสต์ในประเทศกำลังพัฒนา ทั้งในทวีปเอเชีย แอฟริกา และอมริกาใต้ โดยเฉพาะการใช้ยุทธศาสตร์ ป่าล้อมเมืองโดยเริ่มจากการปฏิวัติของเกษตรในชนบทและค่อยๆ ขยายเข้าไปสู่เมือง
(2) การปฏิรูปเศรษฐกิจตามแนวของ เติ้ง เสี่ยวผิงโดยมรับระบบทุนนิยมของโลกตะวันตก เป็นคัวอย่างความสำเร็จของการแยกระบบการปกครองออกจากระบบ
เศรษฐกิจ


การปฏิวัติของจีนครั้งแรก ปี ค.ศ. 1911

2.1 ความสำคัญ การปฏิวัติจีนครั้งแรก เกิดในปี ค.ศ. 1911 เป็นการโค่นล้มอำนาจการปกครองของราชวงศ์ชิงซึ่งชาวแมนจู โดยการนำของ ดร.ชุน ยัดเซน หัวหน้าพรรคก๊ก มิน ตั๋ง เป็นผลทำให้จีนเปลี่ยนแปลงการปกครองเข้าสู่ระบอบประชาธิปไตยในที่สุด
2.2 สาเหตุการปฏิวัติครั้งแรกของจีน ปี ค.ศ. 1911 สรุปได้ดังนี้
(1) การคุกคามจากต่างชาติ โดยเฉพาะชาติมหาอำนาจตะวันตกแลญี่ปุ่น ซึ่งจีนทำสงครามต่อต้านการรุกรานของกองกำลังต่างชาติเป็นฝ่ายแพ้มาโดยตลอด ทำให้คณะปฏิวัติไม่พอใจระบอบการปกครองของราชวงศ์แมนจู
(2) ความอ่อนแอของราชวงศ์ชิง จักรพรรดิแมนจูปกครองจนเป็นเวลา 268 ปี (ค.ศ. 1644 – 1912) ส่วนใหญ่ขาดความเข้มแข็งในการปกครอง มีการแย่งชิงอำนาจในหมู่ผู้นำราชวงศ์
(3) ความเสื่อมโทรมของสภาพสังคมจีน ราษฎรส่วนใหญ่ตกอยู่ในสภาพยากจน ชาวไร่ชาวนาถูกขูดรีดภาษีอย่างหนัก ถูกเอารัดเอาเปรียบจากเจ้าของที่ดิน ชาวต่างชาติเข้ามากอบโกยผลประโยชน์จากแผ่นดินจีน
2.3 ลัทธิไตรราษฎร์ของ ดร. ซุน ยัดเซ็น เพื่อให้การแก้ปัญหาของของประเทศชาติ ประสบผลสำเร็จ ดร.ซุน ยัดเซ็น ผู้นำฯ ได้ประกาศอุดมการณ์ของการปฏิวัติ 3 ประการ เรียกว่า ลัทธิไตรราษฎร์มีดังนี้
(1) ประชาธิปไตย มีการปกครองในระบอบสาธารณรัฐประชาธิปไตย และมีรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดในการปกครองประเทศ
(2) ชาตินิยม ต้องขับไล่อำนาจและอิทธิพลของต่างชาติออกไปจากจีน
(3) สังคมนิยม มีการจัดสรรที่ดินให้แก่เกษตรกร
2.4 ความสำเร็จในการปฏิวัติ ดร.ซุน ยัดเซน ประสบความสำเร็จในการโค่นล้มราชวงศ์ชิงทำให้จักรพรรดิปูยี (Pu-Yi) จักรพรรดิองค์สุดท้ายของจีน ต้องสละราชสมบัติในปีถัดมา
2.5 ความล้มเหลวของระบบสาธารณรัฐประชาธิปไตย โดย ยวน ซีไขผู้นำทางทหารได้รับตำแหน่งประธานาธิบดี แต่เนื่องด้วยเป็นผู้ไม่มีอุดมการณ์ประชาธิปไตยคิดจะสถาปนาตนเองเป็นจักรพรรดิ จึงเกิดความแตกแกภายในประเทศ และประสบปัญหาความยุ่งยากทางเศรษฐกิจตามมา
2.6 ผลกระทบขงการปฏิวัติจีนครั้งแรก ปี ค.ศ.1911 ที่มีต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก คือ
(1) ลัทธิชาตินิยม เกิดความตื่นตัวในกรแสความคิดชาตินิยมในหมู่ผู้นำปัญญา
ชนในภูมิภาคต่างๆ ของเอเชีย เพื่อขับไล่อิทธิพลการครอบงำของชาติมหาอำนาจ
(2) ลัทธิประชาธิปไตย เกิดความนิยมระบอบประชาธิปไตย ซึ่งมีรัฐธรรมนูญ
เป็นกฎหมายสูงสุดในการปกครองประเทศ โดยต้องการยกเลิกระบบการปกครองแบบเก่า

การปราบปรามกบฏไถ้ผิง

                                กำลังของฝ่ายกบฏได้เริ่มเสื่อมคลายลงตั้งแต่ปี ๑๘๖๕ และถูกปราบปรามสิ้นสุดลงเป็นทางการในปี ๑๘๖๕  เหตุในการล้มเหลวของพวกกบฏที่สำคัญ ได้แก่  ความแตกแยกกันในหมู่ผู้นำ  ขาดระบบการบริหารที่ดี  และการแทรกแซงจากโลกภายนอก  เจ้าทั้ง ๕ ของพวกกบฏได้ถึงแก่กรรมในเหตุต่าง ๆ ตั้งแต่ปี ๑๘๕๘ ต่อจากนั้นหุงขาดความไว้เนื้อเชื่อใจคนอื่น  นอกจากบุคคลในครอบครัวเดียวกัน  ตัวหุงเองขาดความสนใจในทางโลกต่อไป  และอาจจะกลายเป็นคนจิตฟั่นเฟือนไป  โดยเขาเชื่อว่า   ในที่สุดพระเจ้าช่วยเขาเอง  การถือศาสนาเข้ารีตและการอ่อนความรู้ของชนชั้นผู้นำเป็นโอกาสให้ฝ่ายกบฏไม่ได้คนที่มีความรู้มาใช้ในวงการราชการบริหาร  และเป็นการยากที่ศาสนาคริสต์จะเข้าไปเอาชนะใจพวกนิยมลัทธิขงจื๊อได้  จะเห็นว่าต่อมามีชาวจีนด้วยกันแต่เป็นผู้เลื่อมใสในลัทธิขงจื๊อ  เช่น  เจิงกว๋อฟัน นั้นได้สะสมผู้คนและเป็นกำลังอันสำคัญในการปราบปรามกบฏครั้งนี้  แหล่งสัมปทานของมหาอำนาจตะวันตกในแถบเมืองท่าต่าง ๆ  ซึ่งในบางครั้งก็มีผลดีต่อพวกกบฏ  และบางครั้งก็เป็นผลร้ายต่อพวกกบฏนั้น  นับว่าเป็นก้างขวางคอการปฏิวัติอยู่มาก  เพราะแหล่งสัมปทานเป็นแหล่งความเจริญ  แต่ฝ่ายกบฏมิกล้าเข้าไปนำทรัพยากรและเก็บภาษีมาเป็นกำลัง  การปฏิวัติได้ ในปี ๑๘๖๐  ชาวอเมริกันนำโดย เฟรเดอริค  เทาเซน  วอร์ด (Frederick  Townsen  Ward) ได้เข้าแทรกแซงกิจการภายในของจีน  โดยนำทหารอังกฤษ  อเมริกัน  และชาวจีนเข้าปราบปรามฝ่ายกบฏ  ในเดือนสิงหาคม ๑๘๖๐ ทหารอังกฤษและฝรั่งเศสได้อาสาเป็นผู้รักษาเมืองเซี่ยงไฮ้  ในขณะที่อังกฤษและฝรั่งเศส   ส่งทหารไปรบกับราชวงศ์แมนจูนั้น  ทหารทางใต้ก็ตั้งอยู่ในความสงบ  หลังจากเดือนกุมภาพันธ์ ๑๘๖๒ ทหารอังกฤษและฝรั่งเศสได้ประกอบเป็นกำลังส่วนหนึ่งของรัฐบาลเข้าทำการปราบปรามกบฏ
                               

การยาตราทัพขึ้นเหนือและความสำเร็จ

การยาตราทัพขึ้นเหนือ   โดยการนำของเจียงไคเช็ค  ภายใต้ผืนธงของก๊กมินตั๋งได้เริ่มโดยซุนยัดเซ็น  ตั้งแต่เดือนกันยายน  ๑๙๒๔  แล้วแต่มิได้คืบหน้าไปมาก  จนกระทั่งเดือนกรกฎาคม  ๑๙๒๖  คณะกรรมการกลางของพรรคได้ประชุมกัน  ในวันที่  ๔  มิถุนายน   แต่งตั้งเจียงไคเช็คเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดโดยยุบเลิกคณะกรรมการฝ่ายทหาร ( Mikitary Council) เสีย  และมอบอำนาจทั้งหมดให้เจียงไคเช็คในวันที่  ๕   กรกฎาคม  เขาให้พรรคแต่งตั้งเขาเป็นหัวหน้าแผนกองค์บุคคลฝ่ายทหาร ( Mikitary Personnel)  โดยมีอำนาจเต็มที่ที่จะแต่งตั้ง  หรือสั่งปลดผู้แทนของพรรคประจำกรมกองทหาร กล่าวโดยสรุปก็คือ  เจียงไคเช็คได้คืบหน้าไปแสวงหาอำนาจในทางการเมืองเพิ่มอำนาจทางการทหาร   ซึ่งเขาสามารถใช้ได้อย่างเผด็จการอยู่แล้ว
                วัตถุประสงค์ประการแรกของการยาตราทัพขึ้นเหนือก็คือ   การปราบปรามขุนศึกทั้งหลาย  และรวบรวมประเทศจีนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน   ภายใต้การนำของพรรคก๊กมินตั๋ง ตั้งแต่ระยะเริ่มแรก  ปรากฏว่า  การปฏิบัติการทางทหารได้รับความสำเร็จเป็นอย่างดี  ภายในระยะเวลา  ๓  เดือนนับแต่เริ่มการเคลื่อนย้ายทหาร  กองทัพก๊กมินตั๋งสามารถยึดเมืองสำคัญ ๆเช่น ฮั่นโข่ว
(ฮันเค้า)และบริเวณใกล้เคียง    จังหวัดต่าง ๆ ภายใต้แม่น้ำแยงซี  เมืองนานกิง  และเซี่ยงไฮ้
                สำหรับในด้านการเมืองนั้น   ไม่ได้รับความสำเร็จดังในด้านการทหาร  การชิงอำนาจระหว่าง ปีกขวา  และ  ปีกซ้าย  ของพรรคยังคงดำเนินต่อไป  รัฐบาลคณะปฏิวัติได้ย้ายที่ตั้งไปอยู่เมืองอู้ฮั่น    เจียงไม่เห็นว่าใครจะมาลบอำนาจเผด็จการของตนได้  จึงไม่พยายามขัดขวางต่อไป
                พรรคคอมมิวนิสต์หวังที่จะหาคะแนนเสียงเพิ่มจากกรรมกรและกสิกร   เพื่อดำเนินการแข่งขันกับก๊กมินตั๋งต่อไป  ในต้นปี  ๑๙๒๗  พรรคคอมมิวนิสต์อ้างว่าตนมีสมาชิกเพิ่มขึ้นเป็น  ๕๐,๐๐๐  คนแล้ว  แต่สลาตินยังสั่งให้ดำเนินงานภายใต้การนำของก๊กมินตั๋งต่อไป   ในเดือนธันวาคม  ๑๙๒๖   เขาแสดงความประสงค์ผ่านองค์การคอมมิวนิสต์สากลว่า  คอมมิวนิสต์จีนควรทำก๊กมินตั๋งให้อยู่ภายใต้การนำของชนชั้นกรรมาชีพ   และถ้าหากคอมมิวนิสต์ไม่มีความสามารถที่จะยึดตำแหน่งความเป็นผู้นำของก๊กมินตั๋ง   เขาอาจจะถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ก่อวินาศกรรมแผนการองค์การคอมมิวนิสต์สากลก็ได้
                การสิ้นสุดของความสัมพันธมิตรระหว่างก๊กมินตั๋งกับคอมมิวนิสต์  สีแดงของรัฐบาลอู่ฮั่นเริ่มปรากฏชัดขึ้นตามลำดับ  ทำให้เจียงหาหนทางกำจัดอิทธิพลของคอมมิวนิสต์เสนอให้ย้ายเมืองหลวงไปตั้งอยู่ที่หนันชังแห่งมณฑล เกียงซี   แต่ผู้นำพรรคไม่สนับสนุน เจียงได้ประกาศอย่างเปิดเผยว่าจะกำจัดคอมมิวนิสต์  และในวันที่  ๗  มีนาคม  ๑๙๒๗  เขาได้กล่าวโจมตีโบโรดินและที่ปรึกษาชาวรุสเซียซึ่งสนับสนุนปีกซ้าย
                ปีกซ้ายของก๊กมินตั๋งตอบโต้เจียงด้วยการเรียกประชุมคณะกรรมการกลาง กับจัดระเบียบพรรคและรัฐบาลเสียใหม่    โดยพยายามจะกำจัดอิทธิพลของเจียง  พรรคได้เลือกพวกก๊กมินตั๋งปีกซ้ายเข้าครองตำแหน่งในองค์การต่าง ๆ ของพรรค  คณะกรรมการกลางยังสนับสนุนสหพันธ์กรรมกรและสมาคมกสิกร  และเรียกร้องให้มีการร่วมมือระหว่างก๊กมินตั๋งและคอมมิวนิสต์มากขึ้น  แต่ตำแหน่งของพรรคและของรัฐบาล   ยังกีดกันสมาชิกของพรรคคอมมิวนิสต์ดังเดิม
                การแตกแยกระหว่างเจียงกับวางจิงวุ่ยได้ถึงขั้นแตกหัก   เมื่อเจียงประกาศจัดตั้งรัฐบาลต่อต้านคอมมิวนิสต์จีนใหม่ที่นานกิงในเดือนเมษายน  ๑๙๒๗  ในวันที่  ๑๘   เดือนเดียวกันเจียงพร้อมด้วยหูฮั่นหมิน  ซึ่งเป็นผู้นำก๊กมินตั๋งฝ่ายขวา  ถูกสงสัยว่ามีส่วนพัวพันกับการมาตกรรม     เลี่ยวจุ้งไข่และผู้ติดตามของเขา
                เจียงไม่สามารถดำเนินตามเจตจำนงของอดีตผู้นำของเขา   ในการรักษาสัมพันธมิตรระหว่างก๊กมินตั๋งคอมมิวนิสต์จีนและรุสเซียไว้ได้    ที่ประชุมใหญ่ครั้งที่  ๕  ของพรรคคอมมิวนิสต์ซึ่งได้จัดให้มีขึ้นตั้งแต่ปลายเดือนเมษายนจนถึงพฤษภาคมนั้น ได้ตีความพฤติกรรมของเจียงว่า  เป็นตัวแทนของอภิสิทธิ์ชนชั้นกลาง (Bourgeoisie) และเขาได้นำชนชั้นของเขาไปเชื่อมสัมพันธมิตรกับพวกศักดินา  และพวกจักรวรรดินิยม  เพื่อที่จะกวาดล้างขบวนการเคลื่อนไหวของมวลชนที่เป็นกรรมกรและกสิกร    มอสโกพยายามอธิบายว่าเหตุการณ์ครั้งนี้เป็นความก้าวหน้าขั้นหนึ่งของก๊กมินตั๋งที่ได้ทำพรรคบริสุทธิ์ยิ่งขึ้น  และสนับสนุนให้พรรคคอมมิวนิสต์ร่วมมือกับก๊กมินตั๋ง  ณ  อู่ฮั่นตามเดิม   ส่วนเฉินตู๊ซิวหัวหน้าพรรคคอมมิวนิสต์นั้นยังคงใจร้อนเช่นเคย  อยากจุงดความร่วมมือที่ให้กับพรรคก๊กมินตั๋ง  ปีกซ้าย เพื่อช่วงชิงความได้เปรียบซึ่งพรรคของตนกำลังอยู่ในระหว่างก้าวหน้า
                ในขณะที่สัมพันธภาพระหว่างก๊กมินตั๋ง  ปีกซ้าย กับคอมมิวนิสต์เสื่อมทรามลงนั้นอิทธิพลของรุสเซียในอู่ฮั่นก็เสื่อมเช่นกัน  เมื่อปรากฏหลักฐานเป็นที่เปิดเผยว่า  รุสเซียได้ใช้การปฏิวัติจีนเพื่อประโยชน์ส่วนตัว  ในต้นปี  ๑๙๒๗  จังจว้อหลินผู้ครองนครหลวงปักกิ่งได้ปราบปรามกิจกรรมของรุสเซียในปักกิ่ง  ในวันที่  ๑  มีนาคม  จังได้ยึดเอกสารโฆษณาลัทธิคอมมิวนิสต์เป็นจำนวนมากจากเรือรุสเซียที่กำลังเดินทางไปอู่ฮั่นที่เมืองผู่โข่ว  ในวันที่  ๒๐  มีนาคม  รัฐบาลปักกิ่งได้สั่งเจ้าหน้าที่ตำรวจทำการค้นสถานศึกษา  และจับกุมนักเรียนในข้อหามีการกระทำเป็นคอมมิวนิสต์เป็นจำนวนมาก 
                จากการกระทำอันพลการของเหล่าคอมมิวนิสต์และพฤติกรรมของคอมมิวนิสต์รุสเซียในจีน  ประกอบกับการกบฏในหนันชัง   ในวันที่  ๓๐  กรกฎาคม  ๑๙๒๗ ซึ่งเป็นการกระทำของคอมมิวนิสต์เช่นกัน   เจียงได้รับอำนาจเต็มที่ในการควบคุมรัฐบาลนานกิงตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์  ๑๙๒๘  ในขณะที่วางจิงวุ่ยประกาศตัวเข้าร่วมรัฐบาลนานกิงนั้น  เจียงได้ถูกขุนศึกนำโดยกลุ่ม  เนินตะวันตก    โค่นอำนาจไปชั่วขณะ  แต่วางจิงวุ่ยร่วมมืออยู่กับพวก  เนินเขาตะวันตก  อยู่ได้ไม่นานก็ถอนตัวไปตั้งรัฐบาลใหม่ที่กวางตุ้ง  ในเดือนกุมภาพันธ์  ๑๙๒๘  ได้มีการจัดระเบียบก๊กมินตั๋งใหม่  ณ  นานกิง  และที่ประชุมคณะกรรมการกลางได้เลือกเจียงเป็นประธาน   และแต่งตั้งเขาดำรงตำแหน่งสำคัญอีกหลายตำแหน่ง เจียงรับมอบอำนาจเผด็จการโดยทหารไปจนถึงวันที่  ๑  สิงหาคม  ๑๙๒๘
                ในขณะที่ความแตกแยกทางการเมืองดำเนินอยู่นั้น   การปฏิบัติทางการทหารยังคงดำเนินต่อไป   ตั้งแต่ปี  ๑๙๒๗   ก๊กมินตั๋งได้กำลังขุนศึกที่สำคัญอีก  ๒  คน  คือ เอี๋ยนสีซันและเฝิ่งยู่เสียงผู้ประกาศสวามิภักดิ์ต่อพรรคซุนยัดเซ็น   ทางเลือกของขุนศึกทางเหนือ  คือ  การยอมตนให้ถูกทำลายโดยกองทหารที่สวามิภักดิ์ต่อก๊กมินตั๋งและยอมจำนน  ขุนศึกหน่วยสุดท้ายที่ต้องเผชิญกับกองทัพก๊กมินตั๋งคือจังจว้อหลินและจังเซียะเหลียงบิดากับบุตร   จังจว้อหลินหนีออกจากกรุงปักกิ่งโดยปราศจากความพยายามต่อต้านในเดือนมิถุนายน   จังจว้อหลินถูกฆาตกรรมโดยระเบิดรถไฟที่เป็นแผนการของทหารญี่ปุ่นแห่งฐานทัพกวันตุง   ในวันที่  ๔   มิถุนายน  ๑๙๒๘  สำหรับจังเซียะ เหลียงบุตรและผู้สืบอำนาจแทนจ้งจว้อหลินนั้น  ได้รับคำเตือนจาโตเกียวมิให้ร่วมมือกับนานกิง  จังได้ปฏิบัติต่อหลายเดือน  แต่ในที่สุดในเดือนธันวาคม  ๑๙๒๘  เขาได้ซักธงก๊กมินตั๋ง  และสมัครใจเข้าร่วมกับรัฐบาลนานกิง  รัฐบาลนานกิงได้แต่งตั้งให้เขาดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการอาณาบริเวณแมนจูเรีย  เย่อเหอ  และส่วนหนึ่งของมองโกเลียใน  พร้อมทั้งตำแหน่งผู้บัญชาการทหารหน่วยป้องกันในอาณาเขตบริเวณชายแดนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ  การรวบรวมประเทศจีนจึงได้บรรลุผลสำเร็จเป็นครั้งแรกนับแต่จังซุนพยายามจัดตั้งราชวงศ์แมนจูในปี ๑๙๑๗


การสถาปนาระบอบสาธารณรัฐ

                                ในชั่วระยะ ๑๐ ปีเศษ ก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครองปี ๑๙๑๑ นั้น  ผู้คนแข่งขันกันเพื่อจะชิงอำนาจการปกครองในประเทศจีน  ทีสำคัญอาจแบ่งได้เป็น ๓ พวก คือ กลุ่มก่อการปฏิวัตินำโดย ซุนยัดเซ็น     กลุ่มสนับสนุนการปฏิรูปนำโดย เหลียงฉี่เชา  และคังอิ่วหวุย  และกลุ่มฉวยโอกาสนำโดย หยวนซื่อไข่  กลุ่มแรกประกาศตนเป็นศัตรูต่อราชวงศ์แมนจูอย่างเปิดเผย  กลุ่มที่ ๒ ต้องการแต่เพียงลดฐานะของพระมหากษัตริย์ให้อยู่ใต้รัฐธรรมนูญ  ส่วนกลุ่มสุดท้ายนั้นมีความคิดเห็นในด้านการเมืองไปในทางใดไม่ปรากฏชัด  ความล้มเหลว    ในการปฏิรูปปี ๑๘๙๘  อันเป็นผลให้เหลียงฉี่เชาและคังอิ่วหวุย  ต้องหนีเอาตัวรอดไปตั้งหลักแหล่งในประเทศญี่ปุ่น  ความหายนะอันเกิดจากกบฏมวยปี ๑๙๐๐  การบีบคั้นของจักรวรรดินิยมตะวันตกและญี่ปุ่นการใช้ดินแดนแมนจูเรียเป็นแหล่งขยายอิทธิพลของรุสเซียและญี่ปุ่น  เหตุการณ์เหล่านี้ทำให้น้ำหนักตาเต็งหันเหมาทางกลุ่มก่อการปฏิวัติมากขึ้นตามลำดับ  ประจวบกับในวันที่ ๑๔ และ ๑๕ พฤศจิกายน ๑๙๐๘ พระราชชนนีฉือซีและจักรพรรดิกวางซวี่ได้สิ้นชีพไปอย่างลึกลับนั้น  ทำให้เหตุการณ์สับสนยิ่งขึ้น
                                กลุ่มเหลียงคังและกลุ่มหยวนไร้ที่พักพิง  ความจงรักภักดีส่วนตัวของเหลียงและคังที่มีต่อจักรพรรดิกวางซวี  ผู้อุปถัมภ์การปฏิรูปปี ๑๘๙๘ ของตนนั้น  คงจะมีส่วนย้อมจิตใจของเขาในเรื่องความคิดเห็นในทางการเมืองอยู่ไม่น้อย  ลาภยศของหยวนได้สูญเสียไปพร้อมกับการตายของพระราชชนนีฉือซี               เพราะพระองค์เจ้าชุนเป็นผู้สำเร็จราชการแทนจักรพรรดิชวนกุ่งผู้มีพระชนมายุเพียง ๒ ชันษา นั้น  ชุบเลี้ยง       แต่พวกแมนจู  ดังนั้นในขณะทำการปฏิวัติปี ๑๙๑๑ นั้น  พวกก่อการปฏิวัติจึงมิได้ประสบกับการต้านทานอย่างแข็งขันจากฝ่ายรัฐบาลแต่อย่างใด
                               

การเจรจายุติสงครามกลางเมือง

                                เมื่อมีรัฐบาลเหนือตั้งอยู่ที่ปักกิ่งและรัฐบาลได้ตั้งอยู่ที่นานกิง  ปัญหาต่อไปของจีนในขณะนั้นก็คือ  ทำอย่างไรจึงจะรวมกันเป็นอันหนึ่งอันเดียวได้  ทางเลือกมีอยู่ ๒ ทาง คือ สงครามกลางเมืองกับการเจรจารวมกันโดยสันติวิธี  วิธีแรกผู้นำของทั้ง ๒ ฝ่ายตระหนักดีว่าไม่เป็นที่ปรารถนาของประชาชน  ยิ่งกว่านั้นทั้ง ๒ ฝ่ายต่างก็ไม่มีความมั่นใจในผลแห่งสงครามกลางเมือง  ตั้งแต่กลางเดือนพฤศจิกายน ๑๙๑๑  ดินแดนที่ยังอยู่ภายใต้การปกครองของรัฐบาลปักกิ่งเหลือแต่เพียงเขตนครหลวง  มณฑลซันตุง       เหอหนันและภาคตะวันออกเฉียงเหนืออีก ๓ มณฑลเท่านั้น  อำาจทั้งหมดทางเหนือตกอยู่ในกำมือของหวอซื่อไข่  อย่างไรก็ตาม  แม้ว่าฝ่ายปฏิวัติจะยึดดินแดนอยู่ในความครอบครองได้แล้วประมาณ ๒/๓ ของประเทศ       แต่เป็นการยึดครองอย่างหละหลวม  ระบบการบริหารยังเหินห่างจากความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน  ยิ่งกว่านั้น  การแปรรูปของรัฐบาลปักกิ่งทำให้ผู้นำฝ่ายใต้มีความเห็นแตกต่างกันในการมองศัตรู  ความเห็นส่วนมากยังคิดว่า การที่จะขับไล่ชาวแมนจูนั้นยังฝากความหวังไว้ให้หยวนได้  และจุดมุ่งหมายนี้ก็อาจจะได้รับความสำเร็จได้ด้วยการเจรจา
                                เมื่อปักกิ่งและนานกิงเลือกเอาการเจรจาเป็นเครื่องตัดสินการรวมประเทศ  หยวนจึงอยู่ในฐานะได้เปรียบคู่แข่งขันใด ๆ ภายในประเทศ  รัฐบาลนานกิงนั้นได้เผยฐานะของตนอย่างแน่วแน่ตั้งแต่ต้นเดือนธันวาคมแล้วว่า  ตนจะสนับสนุนหยวนเป็นประธานาธิบดีเพียงแต่ให้หยวนโค่นล้มราชวงศ์แมนจูเท่านั้น  และซุนเองก็ได้ส่งโทรเลขไปยังหยวนในวันที่เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีชั่วคราว  ยืนยันถึงเจตจำนงเช่นนั้น
                                ส่วนหยวนนั้น  เป็นคนมีความทะเยอทะยานใฝ่ฝันที่จะเป็นผู้ปกครองเมืองจีน  ไม่กังวลว่าจะเป็นรัฐบาลสาธารณรัฐหรือราชาธิปไตย  ฉะนั้น  ดูสถานการณ์ในเวลานั้นก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรยุ่งยาก            แต่ปัญหาอยู่ที่หยวนสงสัยความสุจริตใจของซุน  และความได้เปรียบในเชิงการทหารทำให้เขาเล่นตัวในการเจรจา  เพื่อจะให้ประธานาธิบดีมีอำนาจเสมือนหนึ่งพระมหาจักรพรรดิ
                                งานเจรจารวมจีนเหนือและจีนใต้  ได้เริ่มตั้งแต่ต้นเดือนพฤศจิกายน  ในระหว่างการเจรจานั้นหยวนสามารถใช้ฐานะได้เปรียบของตนต่อรอง  และในบางครั้งก็เป็นการแสดงอำนาจต่อสำนักแมนจู  อุปสรรคอันยิ่งใหญ่ของหยวนในการที่จะใช้กำลังทหารปราบพวกก่อการปฏิวัติทางใต้ คือ การขาดแคลนเงิน  ซุนสามารถจูงใจให้รัฐบาลอังกฤษงดการจ่ายเงินใด ๆ ที่ได้มีการตกลงกันไว้แล้วให้แก่รัฐบาลปักกิ่ง  นอกจากนั้นตั้งแต่    คณะปฏิวัติได้จัดตั้งรัฐบาลทหารที่อู่ซังเป็นต้นมา  ก็ได้สามารถสร้างความนิยมให้แก่มหาอำนาจได้  หยวนจึงหันไปชักชวนราชสำนักแมนจูให้สละราชสมบัติโดยความสมัครใจ  แม้ว่าข้อเสนอนี้จะได้รับการต่อต้านอย่างแข็งขันจากพวกขุนนางในพระราชสำนัก  แต่หยวนสามารถใช้เครื่องมือของตนคือกองทัพแผนใหม่ (เป่ยหยาง)           ขู่  จนขุนนางในพระราชสำนักต้องมีบัญชาให้จักรพรรดิซวนถุ่ง (ปูยี) ซึ่งมีพระชนมายุ ๖ ชันษา  สละราชบัลลังก์ในวันที่ ๑๒ กุมภาพันธ์ ๑๙๑๒ เงื่อนไขของการสละราชบัลลังก์ที่สำคัญมี ๓ ประการ คือ
                                (๑)  ให้รัฐบาลสาธารณรัฐที่จะจัดตั้งขึ้น  ปฏิบัติการดีเป็นพิเศษอย่างพระมหาจักรพรรดิ  หลังจากที่พระองค์ได้สละราชสมบัติแล้ว  ทั้งนี้โดยการให้คงยศพระมหาจักรพรรดิไว้  รัฐบาลสาธารณรัฐจะให้การปฏิบัติการต่อพระองค์ด้วยไมตีอันดี  เปรียบเสมือนหนึ่งผู้นำของรัฐบาลต่างประเทศ  รัฐบาลสาธารณรัฐ      จะจัดหาเงินเลี้ยงชีพสำหรับพระมหาจักรพรรดิ  ในจำนวน ๓๐๐,๐๐๐,๐๐๐ ยวน ต่อปี  นอกจากนั้นให้                 พระมหาจักรพรรดิมีสิทธิที่จะอาศัยอยู่ในพระมหาราชวัง  คงทหารรักษาพระองค์  ได้รับประกันในการรักษาสุสานของบรรพบุรุษและทรัพย์สมบัติส่วนพระองค์ไว้ได้
                                (๒) ให้รัฐบาลที่จะจัดตั้งขึ้นใหม่ปฏิบัติต่อเชื้อพระวงศ์ดีเป็นพิเศษ  โดยให้คงสืบบรรดาศักดิ์ตามปกติ  ให้ได้รับสิทธิพิเศษดังพลเรือนจีน  ได้รับการคุ้มครองในทรัพย์สินส่วนตัว  และให้ได้รับการยกเว้นจากการเกณฑ์ทหาร 
                                (๓) ชาวแมนจู  มองโกเลีย  ชาวมะหะหมัด  และชาวทิเบตจะได้รับสิทธิเท่าเทียมกับคนจีน ได้รับการคุ้มครองกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สิน  ให้มีการสืบบรรดาศักดิ์ตามปกติ  และให้ผู้ยากจนได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐบาล  นอกจากนั้นให้ประชาชนดังกล่าวมีเสรีภาพในการประกอบพิธีกรรมบูชาตามที่ตนนิยม
                                เงื่อนไขดังกล่าวให้ตีพิมพ์ในหนังสือทางราชการ  และให้ประกาศแก่ผู้แทนทางการทูตของต่างประเทศในกรุงปักกิ่งรับทราบไว้ด้วย
                                การสละราชสมบัติของราชวงศ์แมนจูถือได้ว่าเป็นชัยชนะอย่างหนึ่งของคณะก่อการปฏิวัติ  หนึ่งในสามของแนวนโยบายของคณะปฏิวัติได้สำเร็จลุล่วงไปแล้ว  แต่ปัญหาการจัดตั้งรัฐบาลระบอบสละราชสาธารณรัฐยังอยู่ในขั้นดำเนินการ  หลังจากซุนได้รับโทรเลขจากหยวนเกี่ยวกับการสละราชบัลลังก์ของจักรพรรดิแมนจู  และคำแถลงสนับสนุนระบอบสาธารณรัฐของหยวนแล้ว  ซุนได้ยื่นใบลาออกจากตำแหน่งต่อรัฐสภาชั่วคราวที่นานกิง  และเสนอหยวนเข้าดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีชั่วคราวแทน  แต่ตั้งข้อเรียกร้องในการจัดตั้งรัฐบาลสาธารณรัฐไว้เป็นเงื่อนไขของการลาไว้ด้วย ๓ ประการ  กล่าวโดยย่อ คือ
                                (๑)  ให้เมืองหลวงตั้งอยู่ที่นานกิง
                                (๒) หน้าที่ของเขาในฐานะเป็นประธานาธิบดีชั่วคราว  และหน้าที่ของรัฐสภาชั่วคราวจะหมดไป  ต่อเมื่อหยวนย้ายมารับตำแหน่งใหม่ที่กรุงนานกิง
                                (๓) รัฐบาลชั่วคราว  จะต้องผูกพันตามกฎหมายรัฐธรรมนูญที่จะตราขึ้นโดยรัฐสภา               ซุนมีแผนการที่จะใช้วิธีการนี้กำจัดความทะเยอทะยานของหยวน  แต่การย้ายเมืองหลวงนอกจากจะเป็นสิ่งที่หยวนไม่ยอมแล้ว  ยังมีความเกี่ยวโยงถึงผลประโยชน์ของต่างประเทศที่ตั้งผู้แทนทางการทูต ณ กรุงปักกิ่งด้วย  ในที่สุดฝ่ายซุนจำต้องยอมให้หยวนปฏิญาณตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีชั่วคราวของสาธารณารัฐจีนในวันที่ ๑๐ มีนาคม ๑๙๑๒ ในวันต่อมา ซุนในฐานะประธานาธิบดีชั่วคราวภายใต้เงื่อนไขประกาศใช้รัฐธรรมนูญชั่วคราวเพื่อจะให้เป็นเครื่องมือผูกพันรัฐบาลหยวน
                                รัฐธรรมนูญชั่วคราวที่ประกาศใช้ในวันที่ ๑๑ มีนาคม ๑๙๑๒ นี้  มีสาระแตกต่างกับรัฐธรรมนูญที่ร่างขึ้นที่อู่ซังที่สำคัญ คือ เปลี่ยนรูปรัฐบาลจากระบบประธานาธิบดี (Presidential System) มาเป็นระบบรัฐสภา (Parliamentary  System) ตามรัฐธรรมนูญชั่วคราวนี้  หยวนจะแต่งตั้งรัฐบาลซึ่งรับผิดชอบต่อรัฐสภาชั่วคราว      ซึ่งซุนเห็นว่าพวกคณะปฏิวัติเป็นฝ่ายมีเสียงข้างมาก  ซุนหวังที่จะใช้หลักการนี้ยับยั้งอำนาจของหยวน          หยวนแต่งตั้งถัง เซ่าอี้  ไปจัดตั้งคณะรัฐมนตรีที่นานกิง  ซึ่งตำแหน่งสำคัญ ๆ เช่น รัฐมนตรีมหาดไทย  รัฐมนตรีทหารบก  และรัฐมนตรีทหารเรือ  ล้วนแต่เป็นคนของหยวนทั้งสิ้น  รัฐสภาชั่วคราวอนุมัติให้ซุนลาออกจากตำแหน่งประธานาธิบดีชั่วคราวเป็นทางการในวันที่ ๑ เมษายน  ในวันที่  เดือนเดียวกันรัฐสภาชั่วคราวมีมติ      ให้ย้ายรัฐบาลชั่วคราวไปยังกรุงปักกิ่ง  ดังนั้น รัฐบาลนานกิงและปักกิ่งจึงรวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันภายใต้        ป้ายระบอบสาธารณรัฐ


การเจริญเติบโตสูงจะยั่งยืนหรือไม่

              ในช่วงปี 1992-1995 ที่เศรษฐกิจจีนเติบโตสูงกว่าปีละ 10% อัตราเงินเฟ้อ วัดจากดัชนีการบริโภคก็เพิ่มสูงมาก คือสูงถึง 27% ในปี 1994 และ 14.8% ในกลางปี 1995  ทำให้รัฐบาลจีนต้องใช้มาตรการคุมเข้มเพื่อหยุดอัตราเงินเพ้อ  เช่น  ลดการให้สินเชื่อ , ควบคุมราคาสินค้า พื้นฐาน ทำให้ในเดือนพฤศจิกายน      ปี 1997  อัตราเงินเฟ้อลดลงเหลือ 1.1% โดยมีผลกระทบต่อการลดอัตราการเจริญเติบโตของ GDP เพียงเล็กน้อย (ยังโตได้ 9% ในปี 1997)  แต่ในกลางปี 1997 หลังการเกิดวิกฤติเศรษฐกิจตกต่ำในเอเชีย ก็มีผลให้เกิดปัญหาภาวะเงินฝืด (DEFLATION)  ในจีนตามมา จนถึงปี 2001  อัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจลดลงมาเหลือระดับ 7.3% ในปี 2001
              มองทางด้านดีมานด์ (ความต้องการ) การเติบโตทางเศรษฐกิจในอัตราสูงของจีน มาจากการออมและการลงทุนภายในประเทศในอัตราสูง ในปี 1999 การออมในประเทศเป็นสัดส่วนสูงถึง 42% ของ GDP จัดอยู่ในกลุ่มประเทศที่มีอัตราการออมสูงสุดในโลก การออมสูง การลงทุนสูง การส่งออกสูง  GDP  เพิ่มสูง ทำให้เกิดวัฏจักรของการเจริญเติบโตสูง  เนื่องจากจีนเป็นประเทศกำลังพัฒนา จึงมีความต้องการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ทางด้านคมนาคม , ขนส่ง , ทางเรือ , สนามบิน , โรงผลิตกระแสไฟฟ้า ค่อนข้างมาก ถัดมาคือ การเพิ่มความต้องการบริโภคภายในประเทศ   เพราะประชากรจีนมีมาก และยังต้องการบ้าน , อุปกรณ์ตกแต่งบ้าน , เครื่องใช้สอยในครัวเรือน เช่น โทรทัศน์ , ตู้เย็น , โทรศัพท์มือถือ รวมทั้งรถมอเตอร์ไซค์ รถยนต์ สำหรับประชากรในเมืองที่เริ่มมีรายได้สูงขึ้น นอกจากนี้ประชากรก็มีความต้องการบริการทางด้านการค้าและการเดินทางท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นมาก เนื่องจากเป็นประเทศใหญ่มีความหลากหลาย เฉพาะธุรกิจท่องเที่ยวในประเทศก็มีตลาดถึง 784 ล้านคน ในปี 2001  การเติบโตทางเศรษฐกิจของจีน จึงมาจากตลาดภายในประเทศสูง  ซึ่งต่างจากประเทศเอเชียอื่นที่เล็กกว่าที่เน้นการพึ่งการส่งออก มากกว่าตลาดภายในประเทศ ด้านส่งออกของจีนที่เติบโตปีละ 15% ก็เป็นผลเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนทางหนึ่ง
              มองทางด้านซัพพลาย (การสนองความต้องการ) จีนมีประชากรจำนวนมาก และฐาน  ทรัพยากรที่ใหญ่ การเติบโตของกำลังแรงงานและการเพิ่มประสิทธิภาพของผลผลิตมีส่วนช่วยให้เศรษฐกิจจีนเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง ถ้าหากจีนสามารถพัฒนากำลังแรงงานที่มีอยู่มากให้เพิ่มประสิทธิภาพมากขึ้น นั่นก็คือความเจริญเติบโตเศรษฐกิจของจีน มาจากการเพิ่มผลผลิตต่อหัวคนงาน และปัจจัยอื่นเช่นการเปิดประเทศ มากกว่าการเพิ่มการลงทุนต่อหัวคนงาน ซึ่งจะทำให้การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจไปได้ไกลที่กว่าสหภาพโซเวียสที่เพิ่มการลงทุนต่อหัวมากกว่าเพิ่มประสิทธิภาพ นโยบายเปิดประเทศทำให้จีนต้องแข่งขันกันภายนอกรุนแรงขึ้น จึงเป็นแรงผลักดันให้จีนต้องเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตด้วย
              ในปี 1999  ผู้บริหารของจีนเริ่มตระหนักว่า ภาคชายฝั่งทะเลมีการลงทุนและผลผลิตมากเกินไป และจำเป็นต้องขยายการผลิตไปสู่ภาคตะวันตก ซึ่งพัฒนาน้อยกว่าและมีพื้นที่กว้างใหญ่  ถึง 57% ของทั้งประเทศ แต่มีประชากรอยู่ 23% และมีสัดส่วนใน GDP เพียง 13% ดังนั้นภาคตะวันตกจึงเป็นแหล่งใหม่ที่มีโอกาสจะพัฒนาความเจริญเติบโตได้อีก  ในแง่ประชากรของจีน อัตราการเจริญพันธ์เริ่มลดลง มีผลให้โครงสร้างประชากรมีผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นในทศวรรษหน้า โอกาสการได้รับการศึกษาของประชากรจีนโดยทั่วไปยังอยู่ในเกณฑ์ต่ำ เมื่อเทียบกับเกาหลีใต้ ไต้หวัน สิงค์โปร์โดยเฉพาะผู้ได้เรียนระดับอุดมศึกษา ปัจจัยด้านการพัฒนาการศึกษาที่ยังต่ำอาจทำให้การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนในระยะยาวชลอตัวลงได้